การสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของหญิงวัยเจริญพันธุ์เขตสุขภาพที่ 3
คำสำคัญ:
ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก, หญิงวัยเจริญพันธุ์, ความรอบรู้ด้านสุขภาพ, การสื่อสารเพื่อสุขภาพบทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพัฒนาแนวทางการสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของหญิงวัยเจริญพันธุ์ เขตสุขภาพที่ 3 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีตามแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพของกรมอนามัย และทฤษฎีการสื่อสารเพื่อสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์เขตสุขภาพที่ 3 จำนวน 404 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางเครจซี่และมอร์แกนที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.99 และ 1.00 ตามลำดับ นำแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่กลุ่มที่ศึกษาวิจัย จำนวน 30 คน ได้ค่าความเชื่อมั่นจากสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าที วิเคราะห์แบบันทึกการสนทนากลุ่มด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
พบว่า การสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของหญิงวัยเจริญพันธุ์เขตสุขภาพที่ 3 ทำให้กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นจากระดับมีปัญหา คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 68.74 เป็นระดับดีเยี่ยม คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 96.46 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p< 0.001)
ดังนั้น การสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของหญิงวัยเจริญพันธุ์เขตสุขภาพที่ 3 สามารถยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่การมีพฤติกรรมการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กที่ดีขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสื่อสารเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคและภัยสุขภาพได้
Downloads
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค. (2561). องค์ประกอบความรอบรู้ด้านสุขภาพและการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับบุคคล. เอกสารการบรรยายโครงการพัฒนาศักยภาพนักสื่อสารความเสี่ยงกรมควบคุมโรค สำนักสื่อสารความ เสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ. วันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2561 โรงแรมการ์เด้นคลิฟ รีสอร์ท จังหวัดชลบุรี.
กรมควบคุมโรค. (2562). โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาความรอบรู้ด้านเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ (HIV & STIs Health Literacy) ส่วนกลาง ครั้งที่ 1/2562. วันที่ 14-15 มกราคม 2562 โรงแรม ไมด้า. กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์.
กรมควบคุมโรค. (2564). คู่มือกระบวนการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ. สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ.
กรมอนามัย, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, มหาวิทยาลัยมหิดล. (2561). รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการสำรวจ ความรอบรู้ด้านสุขภาพในกลุ่มประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป พ.ศ.2560 (ระยะที่ 1). สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข. https://www.hsri .or.th/researcher/research/new-release/detail/11454
กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. (2561). การเสริมสร้างและประเมินความ รอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ. กระทรวงสาธารณสุข.
กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. (2566). รายงานผลการดำเนินงานพัฒนา ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ปี 2566. กระทรวงสาธารณสุข. https://hed.hss.moph.go.th/results-health/
ขวัญเมือง แก้วดำเกิง. (2561). ความรอบรู้ด้านสุขภาพ: เข้าถึง เข้าใจ และการนำไปใช้. (พิมพ์ครั้งที่ 2). อมรินทร์.
ขวัญเมือง แก้วดำเกิง. (2562). ความรอบรู้ด้านสุขภาพ: ขั้นพื้นฐาน ปฏิสัมพันธ์ วิจารณญาณ. อมรินทร์.
ชญาดา อินทร์ยอด. (2567). การศึกษาปัจจัยที่มีผลกับความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตำบลด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี. วารสารสหเวชศาสตร์และสุขภาพชุมชน, 1(1), 59-80.
ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ และ นรีมาลย์ นีละไพจิตร. (2558). การพัฒนาเครื่องมือวัดความรู้แจ้งแตกฉานทาง สุขภาพ (Health Literacy) สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง. โรงพยาบาลนครพิงค์. https://www.nkp-hospital.go .th/th/H.ed/mFile/20180122115054.pdf
ชินตา เตชะวิจิตรจารุ. (2561). ความรอบรู้ด้านสุขภาพ: กุญแจสำคัญสู่พฤติกรรมสุขภาพและผลลัพธ์สุขภาพที่ดี. วารสารพยาบาลทหารบก, 19(ฉบับพิเศษ), 1-11.
ญษมณ ละทัยนิล. (2562). ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จังหวัดราชบุรี [การศึกษาค้นคว้าอิสระปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง].
ตำแหน่ง สินสวาท, บังอร กล่ำสุวรรรณ์, สมบูรณ์ ชินบุตร และอนงค์ ชีระพันธ์. (2549). การแก้ไขภาวะโลหิต จางจากการขาดธาตุเหล็กในหญิงวัยเจริญพันธุ์์โดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสุขภาพอำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด. กรมพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมศูนย์อนามัยที่ 6 ขอนแก่น.
ธนปนันท์ อัครวีรวัฒน์ และ พรรณี บัญชรหัตถกิจ. (2565). การสื่อสารสุขภาพเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพใน ชุมชน. วารสารสาธารณสุขแพร่เพื่อการพัฒนา, 2(1), 78-89.
ประพันธ์ เข็มแก้ว และ นิกรณ์รัตน์ ภักดีวิวัฒน์. (2564). การศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพของประชาชนกลุ่มวัยทำงานในเขตจังหวัดพิจิตร. วารสารวิจัยและวิชาการสาธารณสุข จังหวัดพิจิตร, 2(2), 32-42.
เบญจวรรณ สอนอาจ. (2562). แนวทางการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของ ประชากรวัยทำงานในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร].
พิทยา ไพบูลย์ศิริ. (2561). ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ 2ส ของผู้บริหารภาครัฐ จังหวัดพระนคร ศรีอยุธยา. วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย, 8(1), 97-107.
ศุภิสรา วรโคตร, ปราณี ธรโสภณ. (2552). การพัฒนารูปแบบการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิต จางจากการขาดธาตุเหล็ก ของงานอนามัยแม่และเด็ก อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร [การศึกษาอิสระปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยขอนแก่น].
ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2563). กระบวนการเรียนรู้ที่สร้าง ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy). สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. https://dol.thaihealth.or.th/Media/Index/ac39cb3d- ede5-ea11-80ec00155d09b41f
สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2561). คู่มือการดำเนินงานสาวไทยแก้มแดง. กระทรวงสาธารณสุข. https://nutrition2.anamai.moph.go.th/th/book/194145
สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ. (2562). รายงานสรุปผลการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริม ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันควบคุมโรค ปีงบประมาณ 2563. กรมควบคุมโรค.
วิชัย วงษ์ใหญ่ และ มารุต พัฒผล. (2563). การเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ (พิมพ์ครั้งที่ 1). จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์.
วิมล โรมา และ สายชล คล้อยเอี่ยม. (2562). รายงานการสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนไทย อายุ 15 ปี ขึ้นไป พ.ศ. 2562. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.
วัชราพร เชยสุวรรณ, อมลวรรณ ตันแสนทวี และคณะ. (2561). ปัจจัยคัดสรรคที่สัมพันธ์กับความรอบรู้ด้าน ของนักเรียนพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ. วารสารแพทย์นาวี, 45(2), 250-266.
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข. (2567,2568). ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ HDC (Health Data Center): รายงานงานมาตรฐาน ส่งเสริมป้องกัน งานโภชนาการ ร้อยละของหญิงวัยเจริญพันธุ อายุ 15-49 ปี ได้รับการคัดกรองภาวะโลหิตจางในขณะที่ไม่ได้ตั้งครรภ์และพบภาวะโลหิตจาง. กระทรวงสาธารณสุข. https://hdc.moph.go.th/center/public/standard-report-detail/d33e0581f3a43d282023405565c85b
อรทัย รุ่งวชิรา, วิไลลักษณ์ ลังกา, รุ่งทิวา แย้มรุ่ง, และสุนีย์ ละกาปั่น. (2564). การประเมินความต้องการ จำเป็นในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ศูนย์การแพทย์และฟื้นฟูบึงยี่โถ จังหวัดปทุมธานี. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข, 31(2), 54-67.
Bandura, A. (1977). Social learning theory. Prentice-Hall.
Bandura, A. (1986). Social foundations of thought and action: A social cognitive theory. Prentice-Hall.
Burns, N., & Grove, S. K. (2005). The practice of nursing research: Conduct, critique, and utilization. Elsevier Saunders.
Cronbach, L. J. (1990). Essentials of psychological testing (5th ed.). UCL Press.
Eiko Goto., Ishikawa, H., Okuhara, T., & Kiuchi, T. (2014). Relationship of health literlacy with utilization of health-care services in a general Japanese population. Preventive medicine reports. https://www.sciencedirect.com/science /article/pii/S2211335519300099
Hovland, C. I., & Weiss, W. (1951). The influence of source credibility on communication effectiveness. Public Opinion Quarterly, 15(4), 635-650.
Institute for Healthcare Improvement (IHI). (n.d.). Ask Me 3®. Institute for Healthcare Improvement. https://www.ihi.org/resources/tools/ask-me-3-good-questions-your-good-health
Kickbusch, L., Pelikan, J. M., Apfel, F., & Tsouros, A. D. (2013). Health literacy: The solid facts. Copenhagen: World Health Organization Regional Office for Europe. UNSW. https://shorturl.asia/qdwU1
Krathwohl, D. R., Bloom, B. S., & Masia, B. B. (1964). Taxonomy of educational objectives: The classification of educational goals. Handbook II: Affective domain. David McKay.
Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.
Likert, R. (1961). New Patterns of Management. McGraw-Hill.
Likert, R. (1967). The method of constructing an attitude scale. In Fishbein, M. (Ed.), Attitude theory and measurement. Wiley & Sons.
McNaughton, C. D., Kripalani, S., Cawthon, C., Mion, L. C., Wallston, K. A.., & Roumie, C. L. (2014). Association of health literacy with elevated bood pressure: a cohort study of hospitalized patients. Medical Care Journal, 52(4), 346-353.
Merrill, J. C., & Lowenstein, R. L. (1971). Media, messages, and men: New perspectives in communication. David McKay Company.
Nutbeam, D. (2000). Health literacy as public health goal: a challenge for contemporary health education and communication strategies into the 21th century. Health Promotion International, 15(3), 259-267.
Nutbeam, D. (2008). The evolving concept of health literacy. Social Science & Medicine, 67(12), 2072-2078.
Parker, R. M., Ratzan, S. C., & Lurie, N. (2020). Health literacy: A policy challenge for advancing high-quality health care. Health Affairs, 22(4), 147-153.
Petty, R. E., & Cacioppo, J. T. (1986). Communication and persuasion: Central and peripheral routes to attitude change. Springer-Verlag.
Pleasant, A. (2012). Health literacy around the world: Part 1 health literacy efforts outside of the United States. Institute of Medicine.
Ratzan, S. C. (2012). Health literacy: Communication for the public good. Health Promotion International, 27(3), 289–291.
Rogers, E. M. (2003). Diffusion of innovations (5th ed.). Free Press.
Rosenstock, I. M. (1974). Historical origins of the health belief model. Health Education Monographs, 2(4), 328-335.
Schramm, W. (1954). How communication works. In W. Schramm (Ed.), The process and effects of mass communication. University of Illinois Press.
Streiner, D. L., & Norman, G. R. (2008). Health measurement scales: A practical guide to their development and use (4th ed.). Oxford University Press.
Uchida, T. (1995). Overview of iron metabolism. International Journal of Hematology, 62(4), 193-202.
Ueno, M., Takeuchi, S., Oshiro, A., & Kawaguchi, Y. (2013). Relationship between oral health literacy and oral health behaviors and clinical status in Japanese adults. Journal of Dental Sciences, 8(2), 170-176.
Vamos, S. D., Vine, M. E., Gordon, I. D., & Alaimo, D. F. (2024). The role of health literacy in patient-physician communication: A scoping review. Health Behavior and Policy Review, 1(4), 1624–1654.
Virutsetazin, K., & Wimonwatmethee, T. (2006). A study of anemia among physical education students Srinakharinwirot University (Research report). Srinakharinwirot University.
World Health Organization. (2023). Anaemia in women and children. World Health Organization. https://www..who.int/data/gho/data/themes/topics /anaemia
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร