https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JRI/issue/feed วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม 2025-12-02T19:24:05+07:00 ดร.ศิวาพัชญ์ บำรุงเศรษฐพงษ์ journal.iaem@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม<br />ISSN: 3088-1390 (ONLINE)<br />Publication Frequency :<br />กำหนดออกวารสารปีละ 12 ฉบับ เป็นรายเดือน</p> <table> <tbody> <tr> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม</p> </td> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์</p> </td> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม</p> </td> </tr> <tr> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน</p> </td> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 5 เดือนพฤษภาคม</p> </td> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 6 เดือนมิถุนายน</p> </td> </tr> <tr> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 7 เดือนกรกฎาคม</p> </td> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม</p> </td> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 9 เดือนกันยายน</p> </td> </tr> <tr> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 10 เดือนตุลาคม</p> </td> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 11 เดือนพฤศจิกายน</p> </td> <td> <p> </p> </td> <td> <p>ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p>Aims and Scope : <br />วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าและเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา รวมทั้งนักวิชาการและผู้สนใจ โดยวารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม รับพิจารณาตีพิมพ์บทความภาษาไทย โดยมีขอบเขตเนื้อหา ดังนี้ 1) ศึกษาศาสตร์: การบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน การวัดและประเมินผลการศึกษา การวิจัยทางการศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา และการออกแบบและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ 2) บริหารธุรกิจ: การจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม การบัญชี การเงิน การตลาด การสื่อสารการตลาด การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การจัดการการท่องเที่ยวและบริการ และการจัดการห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ 3) สังคมศาสตร์: รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นวัตกรรมสังคม การพัฒนาสังคม และการพัฒนาชุมชน</p> https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JRI/article/view/2169 การสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของหญิงวัยเจริญพันธุ์เขตสุขภาพที่ 3 2025-06-09T14:49:56+07:00 ศศิกานต์ มาลากิจสกุล tanha_klub@hotmail.com วิทยาธร ท่อแก้ว tanha_klub@hotmail.com กรกช ขันธบุญ tanha_klub@hotmail.com <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพัฒนาแนวทางการสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของหญิงวัยเจริญพันธุ์ เขตสุขภาพที่ 3 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีตามแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพของกรมอนามัย และทฤษฎีการสื่อสารเพื่อสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์เขตสุขภาพที่ 3 จำนวน 404 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางเครจซี่และมอร์แกนที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.99 และ 1.00 ตามลำดับ นำแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่กลุ่มที่ศึกษาวิจัย จำนวน 30 คน ได้ค่าความเชื่อมั่นจากสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าที วิเคราะห์แบบันทึกการสนทนากลุ่มด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>พบว่า การสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของหญิงวัยเจริญพันธุ์เขตสุขภาพที่ 3 ทำให้กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นจากระดับมีปัญหา คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 68.74 เป็นระดับดีเยี่ยม คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 96.46 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p&lt; 0<strong>.</strong>001)</p> <p> ดังนั้น การสื่อสารเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กของหญิงวัยเจริญพันธุ์เขตสุขภาพที่ 3 สามารถยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่การมีพฤติกรรมการป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กที่ดีขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสื่อสารเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคและภัยสุขภาพได้</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JRI/article/view/2170 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของกลุ่มเจเนอเรชันซี ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2025-07-22T12:38:53+07:00 อมรทิพย์ สำรี wanloveflower562@gmail.com ปราณี เอี่ยมละออภักดี wanloveflower562@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร วัฒนธรรมองค์กร และบรรยากาศองค์กรที่มีผลต่อความพึงพอใจของกลุ่มเจเนอเรชันซีในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยพนักงานเจเนอเรชันซีจำนวน 400 คน โดยการสุ่มแบบสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) และแบบสะดวก (Convenience Sampling) และสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ การสร้างแรงบันดาลใจ และการคำนึงถึงการเป็นปัจเจกบุคคล มีผลต่อความพึงพอใจในการทำงานของกลุ่มเจเนอเรชันซีในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>วัฒนธรรมองค์กร ได้แก่ วัฒนธรรมแบบปรับตัว วัฒนธรรมแบบมุ่งผลสำเร็จ และวัฒนธรรมแบบเครือญาติ มีผลต่อความพึงพอใจในการทำงานของกลุ่มเจเนอเรชันซีในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>การรับรู้บรรยากาศองค์กร ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านโครงสร้าง ด้านการให้รางวัล ด้านการเจริญกาวหน้าและการพัฒนา และด้านการควบคุม มีผลต่อความพึงพอใจในการทำงานของกลุ่มเจเนอเรชันซีในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> <p>ผู้บริหารควรพัฒนาภาวะผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นและมีเป้าหมายร่วมกัน พร้อมสร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วม เติบโต และได้รับผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการทำงานของเจเนอเรชันซี</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JRI/article/view/2065 ปัจจัยด้านแรงจูงใจ ปัจจัยความสุขในการทำงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัท เอ ไอ เอ จำกัด สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร 2025-06-18T11:18:36+07:00 วิมลรัตน์ วิโรจน์ไพศาลกุล vimonratann1@gmail.com อนุฉัตร ช่ำชอง vimonratann1@gmail.com <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแรงจูงใจมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัท เอ ไอ เอ จำกัด 2) เพื่อศึกษาความสุขในการทำงานมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัท เอ ไอ เอ จำกัด และ 3) เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมในการทำงานมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัท เอ ไอ เอ จำกัด เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ได้ศึกษาแนวคิดแรงจูงใจในการทำงาน ความสุขในการทำงาน สภาพแวดล้อมในการทำงาน และประสิทธิภาพการทำงานเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานที่ทำงานในบริษัท เอ ไอ เอ จำกัด สำนักงานใหญ่กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการถอถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) แรงจูงใจในการทำงานมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัท เอ ไอ เอ จำกัด สำนักงานใหญ่กรุงเทพมหานคร 2) ความสุขในการทำงาน มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัท เอ ไอ เอ จำกัด สำนักงานใหญ่กรุงเทพมหานคร และ 3) สภาพแวดล้อมในการทำงาน มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัท เอ ไอ เอ จำกัด</p> <p>ดังนั้นผลการศึกษาสามารถใช้พัฒนานโยบายบุคลากรให้สอดคล้องกับแรงขับภายในของพนักงาน ส่งเสริมความสุขในการทำงาน และปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้ความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานต่อไปได้</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JRI/article/view/2080 แนวทางวิธีวิทยาการวิจัยเพื่อการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับ บริบทอุดมศึกษา 2580 2025-06-01T22:41:05+07:00 พระธีรวัฒน์ อั้นเต้ง mcu60.teerawat@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและแนวโน้มของการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการสอนสมัยใหม่ในระดับอุดมศึกษา (2) วิเคราะห์วิธีวิทยาการวิจัยที่เหมาะสมต่อการพัฒนาและประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรียนการสอน และ (3) เสนอแนวทางในการเลือกใช้วิธีวิทยาการวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทของอุดมศึกษาในยุคดิจิทัลและรองรับการเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2580 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ อาจารย์ ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนิสิตในระดับอุดมศึกษา ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 26 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึกที่ครอบคลุม 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีในการสอน นวัตกรรมทางการศึกษา ผลกระทบของการใช้นวัตกรรม ความท้าทายที่พบ และแนวทางการเลือกใช้วิธีวิทยาการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันและแนวโน้มของการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการสอนสมัยใหม่ในระดับอุดมศึกษา พบว่า การวิจัยในการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนในบริบทอุดมศึกษาควรใช้วิธีวิทยาการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) รวมทั้งการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้และประสบการณ์ของผู้สอนและผู้เรียน พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Big Data, Learning Analytics, และ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2. วิธีวิทยาการวิจัยที่เหมาะสมต่อการพัฒนาและประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรียนการสอน พบว่า การวิจัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการสอนในยุคดิจิทัลควรใช้วิธีวิทยาการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) เพื่อเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ รวมถึงการใช้ Big Data, Learning Analytics, และ AI ในการศึกษาแนวโน้มการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังควรพัฒนาแนวทางการวิจัยที่เน้นการออกแบบและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา (Design-Based Research) เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของอุดมศึกษาในอนาคต 3. แนวทางในการเลือกใช้วิธีวิทยาการวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทของอุดมศึกษาในยุคดิจิทัลและรองรับการเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2580 พบว่า การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษามีความหลากหลายและส่งผลเชิงบวกต่อการเรียนรู้ของนิสิตอย่างมาก ทั้งในด้านการเข้าถึงข้อมูล การสร้างปฏิสัมพันธ์ และการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอุปสรรคสำคัญ เช่น ความไม่พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและทักษะของผู้สอน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JRI/article/view/2211 การเสริมสร้างคุณภาพครูผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ: แนวทางเชิงกลยุทธ์จากกรณีศึกษาระดับเขตพื้นที่การศึกษา 2025-06-01T22:39:27+07:00 ธนกฤต แก้วนามไชย kawnamchaithanakrit@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษายุทธศาสตร์การเสริมสร้างคุณภาพครูผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) ในบริบทของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบความร่วมมือ การเรียนรู้ร่วมกัน การพัฒนาวิชาชีพครู การจัดการเรียนการสอน และการใช้ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย วิธีการศึกษาประกอบด้วยการวิเคราะห์เอกสารและกรณีศึกษาจากเขตพื้นที่การศึกษาที่มีความสำเร็จในการดำเนินงาน พบว่า ความสำเร็จของการดำเนินงาน PLC จำเป็นต้องอาศัยภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ วัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจ การใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และการเชื่อมโยงกับนโยบายระดับชาติ ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ การจัดตั้งหน่วยสนับสนุน PLC ในระดับเขต การบูรณาการผลลัพธ์ PLC เข้ากับระบบประเมินครู และการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ข้ามโรงเรียนอย่างเป็นระบบ บทสรุปชี้ให้เห็นว่า การขับเคลื่อน PLC อย่างยั่งยืนต้องมีโครงสร้างสนับสนุนจากเขตพื้นที่ในด้านนโยบาย ทรัพยากร และระบบนิเทศติดตามที่เข้มแข็ง จึงเสนอให้จัดตั้งกลไกระดับเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อเป็นฐานรองรับและขยายผลการดำเนินงาน PLC อย่างต่อเนื่องและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียน</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการวิจัยเพื่อสังคม