https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/issue/feed
วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
2025-09-30T22:03:51+07:00
ดร.สมบัติ เดชบำรุง
JOTGAC.4.2566@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>Journal of the Graduate Arts Club<br />วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์<br /></strong></p> <p>ISSN 2985-0533 (Online)<br /><br /><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์เผยแพร่</strong><strong><br /></strong> "วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์" เป็นวารสารสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาผู้สนใจทั่วไปและแขนงวิชาที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นผลงานในเชิงบูรณาการหลักการบริหารจัดการนิติบุคคล รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ การจัดการ สังคมวิทยา พัฒนาสังคม การศึกษา และสหวิทยาการทางสังคมศาสตร์ที่เชื่อมโยงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกให้กับปัญหาที่อยู่ในความสนใจของสังคม มีกำหนดเผยแพร่วารสารฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 4 ฉบับ ทั้งนี้ผู้เขียนจะต้องคำนึงถึงจริยธรรมการวิจัย ไม่ละเมิดหรือคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง</p>
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/907
การบริหารอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษาในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดแพร่
2025-07-19T23:14:02+07:00
ปิยะพงษ์ อินต๊ะยศ
i.piyaphong@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารอาชีวศึกษา ระบบทวิภาคี ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดแพร่ 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารการศึกษาอาชีวศึกษา ระบบทวิภาคี ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดแพร่ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีเลือกจํานวน 66 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <ol> <li class="show">การบริหารอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดแพร่ โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านคุณภาพผู้สำเร็จการศึกษา รองลงมาคือ ด้านความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบกา และต่ำสุดคือ ด้านหลักสูตร </li> <li class="show">2.แนวทางการพัฒนาการบริหารอาชีวศึกษา ระบบทวิภาคีของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดแพร่ ได้แก่ 1) ให้ได้รับการพัฒนาฝีมือในการทำงานอย่างถูกต้องเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพเพื่อให้ได้แรงงานที่มีคุณภาพ 2) สถานศึกษาและสถานประกอบการร่วมมือกันดำเนินการจัดทำรายละเอียดการฝึกภาคปฏิบัติในแต่ละรายวิชา ตามความเหมาะสมของสถานประกอบการ ให้ครอบคลุมเนื้อหาของหลักสูตร 3) หัวหน้างานอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ร่วมกับสาขาวิชาตามสาขาที่จะเปิดสอน ร่วมสำรวจความต้องการของสถานประกอบการและพิจารณาความเหมาะสมตลอดจนความเป็นไปได้ในความร่วมมือ 4 ) ให้ปฎิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการประเมินผลตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปริญญาตรี</li> </ol> <p> </p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/908
การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเทพอำนวยหาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
2025-07-19T23:16:17+07:00
สุวดี ฟาไรโม
suwadeefaraimo@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนเทพอำนวยหาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการโรงเรียนเทพอำนวยหาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูและผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนเทพอำนวยหาดใหญ่ จำนวน 130 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามความคิดเห็นและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ การวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <p>1) การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเทพอำนวยหาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา รองลงมา คือ การพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และต่ำสุด คือ การวัดผลประเมินผล</p> <p>2) แนวการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนเทพอำนวยหาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน มีแนวทาง ดังต่อไปนี้ 1) ผู้บริหารควรส่งเสริมการจัดอบรม พัฒนาครูให้มีความสอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 2) ผู้บริหารส่งเสริมให้มีการจัดทำแผนการเรียนรู้ ตามสาระและหน่วยการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 3) ผู้บริหารมีการประเมินผลการเรียนเป็นรายบุคคลครบทุกด้านโดยใช้วิธีที่หลากหลาย 4) ผู้บริหารมีการส่งเสริมให้ครูผลิต จัดหา พัฒนา การใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน 5) ผู้บริหารมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ</p> <p> </p> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> : การบริหารงานวิชาการ</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/910
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารเครือข่ายโรงเรียนที่ 61 ในเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร
2025-07-19T23:17:34+07:00
ชญานนท์ ปันดี
foolcity2@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีจุดประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารเครือข่ายโรงเรียนที่ 61 ในเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารเครือข่ายโรงเรียนที่ 61 ในเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ครู เครือข่ายโรงเรียนที่ 61 ในเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 5 โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2566 จำนวน 56 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารเครือข่ายโรงเรียนที่ 61 ในเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการกำหนดพันธกิจ ค่าเฉลี่ยรองลงมา คือ ด้านการส่งเสริมบรรยากาศการเรียนการสอนและค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการกำกับติดตามความก้าวหน้าของนักเรียน</li> <li class="show">แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารเครือข่ายโรงเรียนที่ 61 ในเขตตลิ่งชัน สังกัดกรุงเทพมหานคร ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเห็นตรงกันทั้ง 3 ท่าน เสนอแนวทางการพัฒนาดังนี้ 1) ผู้บริหารต้องมีทักษะทางด้านเทคนิคในการปฏิบัติงานแต่ละเรื่อง 2) จัดฝึกอบรมการผลิตสื่อการเรียนการสอนและมีการติดตามการใช้สื่อ 3) สร้างแรงจูงใจให้ครูมีส่วนที่จะเข้ามาร่วมในการวางแผนและออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการนิเทศ 4) ครูควรมีปฏิทินติดตามงานที่มอบหมายให้นักเรียนรายวิชาเพื่อรายงานความก้าวหน้ากับผู้บริหาร 5) จัดสรรอุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยีเพียงพอกับผู้ใช้</li> </ol>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/911
การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนปางศิลาทองศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร
2025-07-19T23:19:35+07:00
ชนาภา พงษ์หนองพอก
ckanapha2560@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนปางศิลาทองศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนปางศิลาทองศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร ประชากรในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครู ครูอัตราจ้างชั่วคราว รวมทั้งสิ้น <br>63 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความคิดเห็น และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนปางศิลาทองศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนปางศิลาทองศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร คือ (1) ควรจัดฝึกอบรมให้กับครู และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ใช้สื่อและแหล่งการเรียนรู้ (2) ควรจัดทำหลักสูตรโดยมีตัวแทนจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครู ผู้ปกครองผู้นำชุมชน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง (3) ควรจัดฝึกอบรมให้กับครู เกี่ยวกับการจัดเนื้อหาสาระกิจกรรม ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัด ของผู้เรียน (4) ควรจัดฝึกอบรมให้กับครู บุคลากรในสถานศึกษา เกี่ยวกับการวิจัย อย่างต่อเนื่อง (5) ควรจัดฝึกอบรมให้กับครู บุคลากร เกี่ยวกับการให้บริการด้านวิชาการ อย่างต่อเนื่อง (6) ควรจัดทำโครงการความร่วมมือกับสถาบันสังคมอื่น ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ (7) ควรจัดฝึกอบรมให้กับบุคลากร เกี่ยวกับการจัดหาพัฒนาสื่อเทคโนโลยี</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/912
การบริหารงานบุคคลของโรงเรียนในกลุ่มค่ายพระเจ้าตาก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1
2025-07-19T23:21:04+07:00
นีรชา งามมาก
neerachaka@gmail.com
<p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนในกลุ่ม ค่ายพระเจ้าตาก สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 2. เพื่อศึกษาเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มค่ายพระเจ้าตาก สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ครู โรงเรียนในกลุ่มค่ายพระเจ้าตาก จำนวน 136 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา</span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานบุคคลของโรงเรียนในกลุ่มค่ายพระเจ้าตาก สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนในกลุ่มค่ายพระเจ้าตาก สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 คือ 1) สถานศึกษาควรจัดทำแบบสำรวจความต้องการบุคลากรเพื่อให้เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจตามเป้าหมายของสถานศึกษา 2) สถานศึกษาควรจัดแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานในการสรรหาบุคลากร เพื่อกำหนกคุณสมบัติตามมาตรฐานตำแหน่งและจัดลำดับความต้องการบุคลากรตามความจำเป็น ในการขออนุมัติใช้อัตราว่างให้เป็นไปตามลำดับความต้องการ 3) สถานศึกษาควรจัดฝึกอบรม สัมมนาร่วมกันระหว่างสถานศึกษา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างเสริมประสบการณ์ 4) สถานศึกษาควรจัดตั้งคณะกรรมการร่วมกันพิจารณาความดีความชอบของบุคลากรด้วยความเป็นธรรมแก่ผู้ปฏิบัติงาน ทุกคนอย่างเหมาะสมและเท่าเทียมกัน 5) สถานศึกษาควรติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง</span></span></p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/918
การนิเทศภายในของโรงเรียนปาดังติณสูลานนท์
2025-07-25T19:31:19+07:00
กาญจนา จันทฤทธิ์
Sawbaw051064a@gmail.com
<p class="p1">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา<span class="s1"> 1)</span>การนิเทศภายในของโรงเรียนปาดังติณสูลานนท์<span class="s1"> 2) </span>ศึกษาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของโรงเรียนปาดังติณสูลานนท์ ประชากรคือผู้บริหารและครูของโรงเรียนปาดังติณสูลานนท์ จำนวน<span class="s1"> 30 </span>คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคระห์เนื้อหา</p> <p class="p1">ผลการวิจัยพบว่า</p> <p class="p1"><span class="s1">1. </span>การนิเทศภายในของโรงเรียนปาดังติณสูลานนท์ โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการให้ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง รองลงมา คือ ด้านการพัฒนาทางวิชาชีพ และต่ำสุด คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตร</p> <p class="p1"><span class="s1">2. </span>แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของโรงเรียนปาดังติณสูลานนท์ มีพหุแนวทาง ดังต่อไปนี้<span class="s1"> 1) </span>จัดทำห้องเรียนคุณภาพที่มีสื่อพร้อมสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จัดหาสื่อ เครื่องมือที่ช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน<span class="s1"> 2) </span>การยกย่องเชิดชูเกียรติครู มอบเกียรติบัตรให้กับครูเนื่องในโอกาสต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ครูที่ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ<span class="s1"> <span class="Apple-converted-space"> </span>3) </span>ส่งเสริมการจัดอบรมและพัฒนาเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงาน<span class="s1"> <span class="Apple-converted-space"> </span>4) </span>จัดทำหลักสูตรสถานศึกษาโดยให้ครู ผู้บริหาร และคณะภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตร มีการวิพากษ์หลักสูตรสถานศึกษา<span class="s1"> 5) </span>ส่งเสริมการจัดอบรมให้ครูมีความรู้ทางด้านการจัดทำวิจัยในชั้นเรียนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน</p>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/919
Developing Strategic Management Guidance for Job Hunting for Students Majoring in Food Inspection at Beihai Vocational College, China
2024-08-11T12:06:03+07:00
Nithipattara Balsiri
nithipattara.b@dru.ac.th
<pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการหางานของนักศึกษาสาขาวิชาตรวจสอบอาหาร 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์ในการหางานสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาตรวจสอบอาหาร กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียน 213 คน และครู 21 คน ที่มีส่วนร่วมในการแนะแนวอาชีพสำหรับนักเรียนทดสอบอาหาร ระดับคะแนนห้าจุดใช้เพื่อประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ตอบแบบสอบถามในการจัดการศึกษา<br></span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">ข้อมูลและสารสนเทศที่เก็บรวบรวมนำมาวิเคราะห์ ตีความ และนำเสนอในรูปแบบความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาและความต้องการการหางานของนักศึกษาสาขาวิชาตรวจสอบอาหารอยู่ในระดับ “สูงสุด” และ 2) แนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับการหางานของนักศึกษาสาขาวิชาการตรวจสอบอาหาร ประกอบด้วย 3 หน่วย; กล่าวคือ</span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2.1) ช่องว่างระหว่างความรู้ทางทฤษฎีและความต้องการในการทำงานจริง: นักเรียนรับรู้ถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างความรู้ทางทฤษฎีที่พวกเขาได้รับในโรงเรียนกับงานจริงที่พวกเขาคาดหวังว่าจะได้พบในตลาดงาน 2.2) ความไม่แน่นอนในการวางแผนอาชีพ: นักเรียนแสดงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนอาชีพในอนาคต และการขาดความชัดเจนอาจขัดขวางไม่ให้พวกเขาตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับเส้นทางอาชีพ<br></span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2.3) การขาดความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของนโยบายระดับชาติ: การขาดความเข้าใจของนักเรียนว่านโยบายของรัฐบาลกลางส่งผลต่อการจ้างงานอย่างไร แสดงให้เห็นว่าหลักสูตรจำเป็นต้องรวมเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจการด้านกฎระเบียบด้านอาหารและผลกระทบของนโยบาย จากการวิเคราะห์ผลการสำรวจ การศึกษานี้เผยให้เห็นช่องว่างระหว่างเนื้อหาด้านการศึกษาและความต้องการของอุตสาหกรรม โดยเสนอการปรับปรุงตามเป้าหมายเพื่อเตรียมนักเรียนให้ดีขึ้นเพื่อเผชิญกับความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริงของอุตสาหกรรมการตรวจสอบอาหาร</span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/921
Developing Strategic Management Guidelines of Career Promotion for Teachers in Ethnic Groups of Aba Teachers University
2024-08-11T12:24:38+07:00
Nithipattara Balsiri
nithipattara.b@dru.ac.th
<pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการแนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมอาชีพครูในกลุ่มชาติพันธุ์ และ 2) เพื่อพัฒนาการจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมอาชีพครูในกลุ่มชาติพันธุ์ ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ Aba Teachers University เป็นกรณีศึกษา ประชากรในการศึกษานี้คือครู 494 คน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">สำหรับการสอบสวนความต้องการ กลุ่มตัวอย่างคือครูจำนวน 233 คน ที่กำลังสอนอยู่ที่ครูอาปา มณฑลเสฉวน ในมหาวิทยาลัยครูอาปา กลุ่มตัวอย่างได้มาจากเทคนิคการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย สำหรับการสอบสวนความต้องการใช้แบบสอบถาม ข้อมูลและข้อมูลที่รวบรวมวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอในรูปแบบการนับความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">นอกจากนี้ ระดับคะแนนของ Likert ยังใช้เพื่อประเมินระดับหรือระดับของความต้องการอีกด้วย ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการแนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อการส่งเสริมอาชีพการสอนสำหรับครูในกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับ “สูงสุด” และ<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2) แนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมอาชีพครูครูกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวน 5 หน่วย ได้แก่ 1) ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพครูในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ของจีน 2) สถานการณ์ปัจจุบันและปัญหาการพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพครูในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ของจีน<br></span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">3) ลักษณะ สภาพแวดล้อม และพฤติกรรมของการพัฒนาอาชีพและการส่งเสริมอาชีพครูในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ของจีน 4) มาตรการและแนวทางที่มีประสิทธิผลสำหรับการพัฒนาวิชาชีพและการส่งเสริมครูในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ของจีน และ 5) การดำเนินการตามมาตรการพัฒนา และกลไกการตอบรับ ทั้ง 5 หน่วยได้รับการประเมินความถูกต้องและเหมาะสมของเนื้อหาตาม IOC โดยผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน</span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwiu84-yht2HAxWI9DgGHcCKIUMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/922
Academic Administration Guidelines for Using Artificial Intelligence-Assisted Teaching in Accounting subject of Shanxi University of Finance and Economics, China
2024-08-11T12:28:04+07:00
Nithipattara Balsiri
nithipattara.b@dru.ac.th
<pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการการบริหารงานวิชาการด้านการสอนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยด้านการบัญชี และ 2) เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการบริหารงานวิชาการสำหรับการสอนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยในด้านบัญชี ในการสอบสวนปัญหาและความต้องการ แบ่งประชากรออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) นักเรียน 200 คน และ 2) ครู 18 คน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">กลุ่มตัวอย่างเพื่อสอบสวนปัญหาและความต้องการ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ได้แก่ 1) นักเรียน 133 คน และ 2) ครู 18 คน ตัวอย่างได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นที่โรงเรียนบัญชีของมหาวิทยาลัยการเงินและเศรษฐศาสตร์ชานซี พร้อมทั้งสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ข้อมูลและข้อมูลที่รวบรวมวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอในรูปแบบความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">ระดับคะแนนใช้เพื่อประเมินระดับหรือระดับของปัญหาและความต้องการ ผลการวิจัยระบุว่า 1) ปัญหาและความต้องการของการบริหารงานวิชาการสำหรับการใช้ระบบการสอนโดยใช้ AI ของมหาวิทยาลัยการเงินและเศรษฐศาสตร์ชานซี อยู่ในระดับ "สูง" และ 2) แนวทางการบริหารงานวิชาการที่พัฒนาแล้วของปัญญาประดิษฐ์ช่วย การสอนในโรงเรียนการบัญชีประกอบด้วย 5 หน่วย:<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2.1) ความเป็นมาและวัตถุประสงค์การบริหารงานวิชาการในการใช้การสอนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยในวิชาบัญชี 2.2) การประยุกต์ใช้การสอนวิชาบัญชีช่วยด้วยปัญญาประดิษฐ์ 2.3) การประเมินและติดตามการใช้การสอนวิชาบัญชีช่วยด้วยปัญญาประดิษฐ์<br></span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2.4) ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในการใช้การสอนวิชาบัญชีช่วยด้วยปัญญาประดิษฐ์ และ 2.5) มาตรการและแนวทางการบริหารงานวิชาการในการใช้การสอนวิชาบัญชีช่วยด้วยปัญญาประดิษฐ์ ทั้ง 5 หน่วยได้รับการประเมินความถูกต้องและเหมาะสมของเนื้อหาตาม IOC โดยผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน</span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwid486Q5t6HAxVPSGwGHT5XCVEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/923
Developing Strategic Management Guideline for Vocal Music Teaching in the Classroom for Junior Middle School Students at Hong Xinglong Middle School, China
2024-08-11T12:29:22+07:00
Nithipattara Balsiri
nithipattara.b@dru.ac.th
<pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจปัญหาและความจำเป็นในการปรับปรุงทักษะการร้อง; 2) พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับการสอนดนตรีแกนนำในห้องเรียนสำหรับนักเรียนมัธยมต้น กลุ่มตัวอย่างแบบสำรวจนี้ประกอบด้วยครู 165 คน และนักเรียน 336 คน ใช้การให้คะแนนแบบห้าจุดเพื่อประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ตอบแบบสอบถาม<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">ข้อมูลและสารสนเทศที่เก็บรวบรวมได้รับการวิเคราะห์ อธิบาย และแสดงเป็นความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยที่สำคัญมีดังนี้ 1) ปัญหาและความต้องการทักษะด้านเสียงอยู่ในระดับ "สูงสุด"; 2) แนวทางการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการสอนดนตรีแกนนำในห้องเรียนสำหรับนักเรียนมัธยมต้น ได้แก่<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2.1) พัฒนาทักษะการพูดของนักเรียนโดยการวิเคราะห์ความท้าทายและความต้องการที่นักเรียนในโรงเรียนเผชิญอยู่ในปัจจุบันอย่างครอบคลุม 2.2) รวมกับทฤษฎีและแนวปฏิบัติด้านการศึกษาภาษาล่าสุด 2.3) เสนอกลยุทธ์และวิธีการที่ตรงเป้าหมายและปฏิบัติ 2.4) จัดทำกรอบการทำงานสำหรับ ครูจะวางแผน นำไปใช้ และประเมินกลยุทธ์การสอนเพื่อเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ของนักเรียน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2.5) รวมแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการศึกษาเกี่ยวกับเสียงร้องและพิจารณาความต้องการเฉพาะของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2.6) ช่วยให้ครูสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สนับสนุนและมีส่วนร่วมซึ่งส่งเสริมการเติบโตและการพัฒนาของดนตรี 2.7) การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการศึกษาเกี่ยวกับเสียงร้อง การจัดการเชิงกลยุทธ์อย่างครอบคลุม และกลยุทธ์การสอนสำหรับนักเรียนมัธยมต้น<br></span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2.8) เพื่อระบุหลักการและแนวปฏิบัติสำคัญที่ควรรวมไว้ในคู่มือนี้ เราจะขอความคิดเห็นของครูแกนนำที่มีประสบการณ์จากโรงเรียนมัธยม Hong Xinglong เพื่อให้แน่ใจว่าการนำแนวทางนี้ไปใช้ในห้องเรียนมีความเกี่ยวข้องและนำไปปฏิบัติได้จริง</span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjzn8jun-GHAxVkRmcHHXtTJFcQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/925
Developing Strategic Management Guidelines for the Enhancement of Cooperative Relationship between Secondary Vocational Schools and Communities of Guangxi Electro-mechanical Industry School, China
2024-08-17T23:20:09+07:00
Nithipattara Balsiri
nithipattara.b@dru.ac.th
<pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการแนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับมัธยมศึกษาเพื่อกระชับความร่วมมือกับชุมชน และ 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับมัธยมศึกษาเพื่อกระชับความร่วมมือกับชุมชน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การศึกษาครั้งนี้ใช้โรงเรียนอุตสาหกรรมเครื่องกลและไฟฟ้ากวางสีในประเทศจีนเป็นตัวอย่างการวิจัย กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ สมาชิกโรงเรียน 160 คน และสมาชิกชุมชน 288 คน แบบสำรวจใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 3 ส่วน นอกจากนี้ยังใช้ชุดคำถามเป็นเครื่องมือในการอภิปรายกลุ่มสนทนา<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">คำถามทั้งหมดในแบบสอบถามได้รับการประเมินและอนุมัติโดยผู้เชี่ยวชาญสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องในแง่ของคะแนน IOC มาตราส่วน Likert ใช้เพื่อให้คะแนนหรือจัดอันดับความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามในด้านต่างๆ ของการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับมัธยมศึกษาและชุมชน ข้อมูลและข้อมูลที่รวบรวมวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอในรูปแบบความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัญหาและความต้องการของความร่วมมือระหว่างโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับมัธยมศึกษาและชุมชนได้รับคะแนนสูงสุด 2) นอกจากนี้ แนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 โมดูล ได้แก่ 2.1) การต่ออายุแนวคิดเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ความร่วมมือ<br></span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2) กลไกที่ดีเป็นหลักประกันการเสริมสร้างความสัมพันธ์สหกรณ์ 2.3) การเพิ่มขีดความสามารถเป็นหัวใจสำคัญของการเสริมสร้างความสัมพันธ์สหกรณ์ 2.4) ปฏิสัมพันธ์สองทางเพื่อเป็นแนวทางในการเสริมสร้างความสัมพันธ์สหกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญสามคนประเมินและอนุมัติความถูกต้องและการบังคับใช้ของแต่ละโมดูล แนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นนั้นนำไปใช้เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชน</span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/926
Developing an Academic Administration based on PDCA Model to Enhance PostFilming Teaching for Students Majoring Information Technology of Hunan Changde Technician College, China
2024-08-17T23:21:12+07:00
Nithipattara Balsiri
nithipattara.b@dru.ac.th
<pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการการสอนหลังการถ่ายทำสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยช่างเทคนิคหูหนานฉางเต๋อ ประเทศจีน 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมการสอนหลังการถ่ายทำสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศของ Hunan Changde Technician College ประเทศจีน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">กลุ่มตัวอย่างเป็นครู 42 คน และนักเรียน 267 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือแบบสอบถาม ระดับคะแนนห้าจุดใช้เพื่อประเมินปัญหาและความต้องการของการสอนหลังการถ่ายทำสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูลที่ถูกรวบรวมจะถูกวิเคราะห์ ตีความ และนำเสนอในรูปแบบของความถี่ เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยระบุว่า:<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">1) ปัญหาและความต้องการการสอนหลังการถ่ายทำของนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันอยู่ในระดับ "สูงสุด" ในระยะ "แผน" แบบสำรวจระบุความต้องการและความคาดหวังของนักเรียนและครูเกี่ยวกับการจัดการคุณภาพการศึกษา ในระยะ "ทำ" แนวทางปฏิบัติด้านการศึกษาในปัจจุบันได้รับการประเมินตามข้อมูลที่รวบรวมได้ ในระยะ "ตรวจสอบ" จะใช้ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างแนวทางปฏิบัติในปัจจุบันและผลลัพธ์ที่ต้องการ<br>The analysis revealed significant disparities across various aspects of educational quality management, highlighting areas where interventions are needed to bridge the gap between perception and reality. Finally, recommendations were provided in the "Act" phase to address the identified issues and improve educational quality management. <br></span></pre> <p>2) An academic administration guideline to enhance post-filming teaching for students majoring information technology: By applying the principles of the PDCA cycle, educational institutions can systematically identify areas for improvement, implement targeted interventions, and continuously monitor and adjust their practices to better meet the needs and expectations of students and teachers in film and television post-production courses.</p> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/927
Developing Strategic Management Guidelines for the Applications of Modern Information Technology for Secondary Vocational Schools of Changde Technician College, China
2024-08-17T23:23:27+07:00
Nithipattara Balsiri
nithipattara.b@dru.ac.th
<pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับมัธยมศึกษาของ Changde Technician College ประเทศจีน 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์สำหรับการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับมัธยมศึกษาของ Changde Technician College ประเทศจีน ผู้ตอบแบบสอบถามของการศึกษาครั้งนี้คือนักเรียน 269 คน และครู 32 คน ซึ่งได้รับการสุ่มตัวอย่างที่วิทยาลัยช่างเทคนิคฉางเต๋อ<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม จำนวน 23 คำถามสำหรับครู และ 24 คำถามสำหรับนักเรียน รวมทั้งหมด 47 คำถาม ระดับคะแนนห้าจุดใช้เพื่อประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ตอบแบบสอบถามในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ ข้อมูลที่ถูกรวบรวมจะถูกวิเคราะห์ ตีความ และนำเสนอในรูปแบบของความถี่ เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยระบุว่า:<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">1) ปัญหาและความต้องการที่มีอยู่ของการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับมัธยมศึกษาอยู่ในระดับ "สูงสุด" 2) แนวทางการจัดการเชิงกลยุทธ์สำหรับการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่สำหรับโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับมัธยมศึกษา: 2.1) ความสามารถและการเข้าถึงของนักเรียน: ความสามารถในการใช้ซอฟต์แวร์สำนักงานมีจำกัด เป็นอุปสรรคต่อการทำงานด้านวิชาการและวิชาชีพของนักเรียน จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี<br></span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">2.2) ข้อกำหนดด้านทรัพยากรและอุปกรณ์: นักศึกษาต้องการอุปกรณ์ไอทีขั้นสูงสำหรับการใช้งานจริงในการวิจัย เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจของนักเรียนในเนื้อหาหลักสูตร 2.3) การฝึกอบรมและการสนับสนุนครู: ครูเผชิญกับความท้าทายในการสร้างทรัพยากรมัลติมีเดีย การฝึกอบรมและการสนับสนุนที่ครอบคลุมถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบูรณาการเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการสอน 2.4) การพัฒนาทางวิชาชีพและการสนับสนุนทางการเงิน: การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในเวิร์กช็อปด้านไอทีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับครูในการติดตามข่าวสารล่าสุด</span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwjyoeSi0POHAxU-jGMGHRDODvEQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jotgac/article/view/934
Developing Management Guidelines of Academic Administration to Enhance Scholastic Achievement of College Students in Ethnic Minority Areas of X M Normal College in Sichuan Province, China
2024-08-27T22:02:49+07:00
Nithipattara Balsiri
nithipattara.b@dru.ac.th
<pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwia9LbE7JGIAxX1R2wGHWp2KSMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ที่วิทยาลัยครู Xichang X M มณฑลเสฉวน ประเทศจีน 2) เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการเพื่อส่งเสริมวิชาการ ความสำเร็จของนักศึกษาวิทยาลัยในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยที่วิทยาลัย Xichang X M Normal ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwia9LbE7JGIAxX1R2wGHWp2KSMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">ประชากรแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) นักเรียน 7,000 คน และ 2) ครู 260 คน กลุ่มตัวอย่างในการสืบค้นปัญหาและความต้องการ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) นักศึกษาที่ศึกษาในวิทยาลัยจำนวน 378 คน; และ 2) ครูในวิทยาลัยจำนวน 158 คน นอกจากนี้ยังใช้ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่านในการประชุมสนทนาการสนทนากลุ่ม<br></span></pre> <pre class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwia9LbE7JGIAxX1R2wGHWp2KSMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม และชุดคำถามสำหรับการประชุมสนทนาการสนทนากลุ่ม ข้อมูลและข้อมูลที่รวบรวมวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอในรูปแบบการนับความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยระบุว่า:<br></span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwia9LbE7JGIAxX1R2wGHWp2KSMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th">1) ปัญหาและความต้องการของการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยโดย Xichang X M Normal College อยู่ในระดับ "สูงสุด" ทั้งหมด และ 2) แนวทางการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ โดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน เพื่อประเมินความสามารถและความถูกต้องของแบบสอบถามและแนวปฏิบัติ ประกอบด้วย 3 มิติ คือ 1) การจัดการเรียนรู้ 2) การฝึกอบรมการเรียนรู้ และ 3) การวางแผนการเรียนรู้</span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwia9LbE7JGIAxX1R2wGHWp2KSMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre> <pre id="tw-target-text" class="tw-data-text tw-text-large tw-ta" dir="ltr" data-placeholder="Translation" aria-label="Translated text" data-ved="2ahUKEwia9LbE7JGIAxX1R2wGHWp2KSMQ3ewLegQIBxAU"><span class="Y2IQFc" lang="th"> </span></pre>
2025-09-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารชมรมบัณฑิตศิลป์