วารสารศรีขวาวนคร https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn <p><strong>ISSN:</strong> 3088-1447 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 (มกราคม – เมษายน) ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม– สิงหาคม) และฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม) </p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์: </strong></p> <p>วารสารศรีขวาวนคร มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงทางด้าน สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ การศึกษา การจัดการและบริหารธุรกิจ ศิลปะ ดนตรี การแสดง และวัฒนธรรมโดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักศึกษาและนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบันการศึกษา</p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong><strong>: </strong>บทความวิจัย, บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ: </strong></p> <p>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จำนวน 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ในลักษณะปกปิดความลับของทั้งสองฝ่าย (Double blind peer-reviewe) ที่ผู้พิจารณาบทความจะไม่ทราบชื่อ หรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความก็ไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นกัน</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่: </strong></p> <p>วารสารศรีขวาวนครจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความละ 3,000 โดยชำระค่าธรรมเนียมหลังจากบทความผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการวารสาร ก่อนที่จะดำเนินการส่งบทความถึงผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมิน ในกรณีที่บรรณาธิการปฏิเสธการตีพิมพ์หรือกรณีที่ผู้เขียนขอยกเลิกบทความเองจะคืนค่าตีพิมพ์ แต่หากมีการส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความแล้ววารสารจะไม่คืนค่าธรรมเนียมให้ </p> th-TH บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร joskn2025@gmail.com (Asst.Prof.Dr.Naitawan Kumkom ) tharathip_kib@hotmail.com (Tharathip Moonlasart) Thu, 28 Aug 2025 16:49:17 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบร่วมมือ ร่วมกับการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม และการนำตนเอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2427 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1)แนวทางการจัดการเรียนรู้ 2)องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3)ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้และ 4)ประเมินรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร จำนวน 24 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยของการสุ่ม</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1)แนวทางการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบร่วมมือ ร่วมกับการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2)องค์ประกอบของรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบร่วมมือ ร่วมกับการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม และการนำตนเอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และ การวัดและการประเมินผล 3)ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบร่วมมือ ร่วมกับการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ร่วมกับการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.63/86.49 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเมื่อเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน เมื่อเปรียบเทียบก่อนเรียนและหลังเรียน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 การทำงานเป็นทีมของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด การนำตนเองของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความพึงพอใจของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 4)ผลการประเมินรับรองรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบร่วมมือ ร่วมกับการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และรายด้านทุกด้านผ่านเกณฑ์การประเมิน</p> อุไรรัก พันโกฏิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีขวาวนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2427 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ตัวบ่งชี้ความเสี่ยงกับการสะท้อนสภาพการบริหารความเสี่ยงที่แท้จริงสำหรับโรงเรียนของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2575 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับตัวบ่งชี้ความเสี่ยง 2) ศึกษาระดับการสะท้อนสภาพการบริหารความเสี่ยงที่แท้จริง สำหรับโรงเรียน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ของตัวบ่งชี้ความเสี่ยงกับการสะท้อนสภาพการบริหารความเสี่ยงที่แท้จริงสำหรับโรงเรียนของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลหา ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาความสัมพันธ์โดยใช่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ตัวบ่งชี้ความเสี่ยง โดยภาพรวมนั้นอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบอันดับที่ 1 คือด้านการเงินและงบประมาณ รองลงมา คือ ด้านการดำเนินงาน ด้านกลยุทธ์ และอันดับสุดท้ายคือด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ ตามลำดับ <em>2) </em>การสะท้อนสภาพการบริหารความเสี่ยงที่แท้จริง สำหรับโรงเรียน ภาพรวมอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการยอมรับความเสี่ยง รองลงมาคือด้านการกระจาย/โอนความเสี่ยง ด้านการลด/ควบคุมความเสี่ยง และอันดับสุดท้ายคือ ด้านการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ตามลำดับ 3) ตัวบ่งชี้ความเสี่ยงกับการสะท้อนสภาพการบริหารความเสี่ยงที่แท้จริงสำหรับโรงเรียนของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 โดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> อาคม ศรีพรม, โสภี วิวัฒน์ชาญกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีขวาวนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2575 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของปัจจัยด้านสถานศึกษากับกรอบความคิดผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครปฐม เขต 1 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2579 <p>ความคิดเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของมนุษย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด โดยเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินชีวิต วางแผน และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่มีเป้าหมายชัดเจนหรือความคิดที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หากบุคคลสามารถคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย ย่อมช่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งนำมาสู่ผลลัพธ์ที่ดีและมีคุณค่าทั้งต่อตนเองและสังคม ความสามารถในการคิดถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต เพราะเป็นรากฐานของความสำเร็จและความเป็นอยู่ที่ดี ในขณะที่ความล้มเหลวและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นผลจากกระบวนการคิดเช่นกัน ดังนั้น การฝึกฝนและพัฒนาความคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้เกิดสติปัญญาที่สามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกจากสิ่งที่อาจนำไปสู่ความเสียหาย หากบุคคลหรือสังคมมีประชากรที่คิดเป็นและมีปัญญา ก็จะช่วยสร้างความมั่นคง ความเจริญก้าวหน้า และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในทางกลับกัน สังคมที่ขาดสติปัญญาและการคิดอย่างรอบคอบ อาจประสบปัญหาความวุ่นวายและความล้าหลัง การพัฒนาความคิดของคนในชาติจึงมีความสำคัญ เพื่อปลดปล่อยจากความไม่รู้ และสร้างความสามารถในการคิดอย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม การมีความรู้เพียงอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะสามารถคิดเป็นได้ แต่คนที่มีความสามารถในการคิดอย่างถูกต้องต้องมีพื้นฐานของความรู้ ความรู้อาจเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือได้รับจากการศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บุคคลคิดได้อย่างมีเหตุผลและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ (ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2556)</p> <p>Carol Dweck ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ได้นำเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับ Mindset ซึ่งอธิบายว่าเป็นชุดของความเชื่อและมุมมองที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของบุคคล ทั้งในด้านความคิด เจตคติ และพฤติกรรม จากการศึกษาปัจจัยด้านจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จ พบว่า Mindset เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลอย่างมากต่อโอกาสในการประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ Mindset มีอยู่ในตัวทุกคน แม้บางคนอาจไม่ทันสังเกต การเปลี่ยนแปลงแนวคิดในเชิงบวกสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตในหลายด้านได้ (Dweck, 2012) กรอบแนวคิด จึงหมายถึงชุดของความเชื่อและวิธีคิดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและมุมมองของบุคคล ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการพัฒนานักศึกษาครู ให้มีกรอบแนวคิดแบบเติบโต เพื่อเสริมสร้างรากฐานทางจิตใจที่มั่นคง กำหนดเป้าหมายในการศึกษา และปลูกฝังจิตวิญญาณของความเป็นครู ทั้งยังช่วยให้บุคคลสามารถพัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบททางการศึกษาและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p>การคิดเป็นถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาและพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรให้ความสนใจอย่างจริงจังในการพัฒนาและเสริมสร้างความสามารถด้านการคิดให้กับทุกคนกระบวนการคิดเกิดขึ้นจากกรอบแนวคิดของบุคคล ซึ่งเป็นผลจากการประมวลข้อมูลที่ได้รับผ่านประสบการณ์ ทัศนคติ ความเชื่อ มุมมอง และความรู้ รวมถึงปัจจัยส่วนบุคคลอื่น ๆ เมื่อบุคคลตีความข้อมูลเหล่านี้ ความหมายที่ได้อาจแตกต่างกัน แม้ว่าข้อมูลจะเป็นสิ่งเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การชมภาพศิลปะที่บุคคลแต่ละคนสามารถให้คำบรรยายในแง่มุมที่แตกต่างกัน หรือในแวดวงธุรกิจ บางคนมองเห็นวิกฤต ขณะที่บางคนกลับเห็นโอกาส ซึ่งความหลากหลายนี้เกิดขึ้นจากความแตกต่างของประสบการณ์ ความเชื่อ และมุมมองของแต่ละคนสิ่งสำคัญคือกรอบความคิดสามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ตลอดเวลา โดยผ่านการรับข้อมูลใหม่และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ในทางจิตวิทยา กรอบความคิด หรือ Mindset ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของมนุษย์อย่างครอบคลุม(อังศวีร์ เครือแก้ว,2562)</p> <p>กรอบความคิดเติบโต เป็นแนวคิดที่เน้นความสามารถในการพัฒนาและปรับตัว โดยเชื่อว่าทักษะและความรู้ของบุคคลสามารถเติบโตได้ผ่านการเรียนรู้และการฝึกฝน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์หรือความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งตรงกันข้ามกับกรอบความคิดจำกัด (Fixed Mindset) ที่มองว่าความสามารถของคนมีขีดจำกัด ไม่สามารถพัฒนาเพิ่มเติมได้ ความสำคัญของกรอบความคิดเติบโตในองค์กร ในปัจจุบัน การพัฒนากรอบความคิดเติบโตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กร เนื่องจากช่วยส่งเสริมให้บุคลากรสามารถรับมือกับอุปสรรค มองหาโอกาส และพยายามหาหนทางเพื่อบรรลุผลสำเร็จ นอกจากนี้ยังช่วยให้บุคลากรมีความมั่นใจในคุณค่าและศักยภาพของตนเอง โดยเชื่อว่าการพยายามและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะนำไปสู่ความสำเร็จ การประยุกต์ใช้กรอบความคิดเติบโตในภาครัฐ สำหรับหน่วยงานภาครัฐ กรอบความคิดเติบโตมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการทำงานในยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากบุคลากรไม่สามารถปรับตัวได้ อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการทำงาน ดังนั้น หน่วยงานควรสนับสนุนให้บุคลากรมีความกล้าที่จะเรียนรู้ คิดค้นแนวทางใหม่ๆ และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานยังช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรการมีกรอบความคิดเติบโตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของแต่ละบุคคล แต่เป็นสิ่งที่องค์กรควรส่งเสริมเพื่อให้บุคลากรมีทัศนคติที่พร้อมต่อการพัฒนาและปรับตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าและความสำเร็จในระยะยาว (มุทิตา อดทน, 2561)</p> <p>การศึกษาครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยด้านสถานศึกษาที่มีต่อกรอบความคิดผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารและบุคลากรสามารถ เข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงาน ทำให้ทราบถึงปัจจัยภายในสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานของบุคลากร เช่น วัฒนธรรมของสถานศึกษา ความพร้อมของทรัพยากรทางวิชาการ และการส่งเสริมการประกวดแข่งขันทางวิชาการ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนพัฒนาองค์กร สารมารถ พัฒนากรอบความคิดผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงาน ช่วยให้เข้าใจถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานของบุคลากร เช่น ความรู้และความเข้าใจในงานที่ทำ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความสัมพันธ์กับบุคคลในที่ทำงาน และการทำงานเป็นทีม</p> <p>จากการศึกษาเอกสารครั้งนี้มีปัญหาหลัก ๆ คือ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานของบุคลากรมีความหลากหลายและซับซ้อน เช่น วัฒนธรรมของสถานศึกษา ความพร้อมของทรัพยากร และการส่งเสริมการประกวดแข่งขัน ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์และประเมินผลเป็นไปอย่างยากลำบาก สถานศึกษาต่าง ๆ มีบริบทที่แตกต่างกัน เช่น ขนาดของโรงเรียน จำนวนและคุณภาพของบุคลากร และทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานของบุคลากรในแต่ละแห่งแตกต่างกันการรวบรวมข้อมูลจากบุคลากรในสถานศึกษาจำนวนมากอาจพบอุปสรรค เช่น ความไม่สะดวกในการเข้าถึงข้อมูล ความไม่เต็มใจในการให้ข้อมูล หรือข้อจำกัดด้านเวลาและทรัพยากร การศึกษาครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์และประเมินปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาและปรับปรุงการบริหารจัดการสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพสูงสุด.</p> <p>จากความเป็นมาดังกล่าวข้างต้น ผู้ศึกษาจึงสนใจศึกษา เรื่อง อิทธิพลของปัจจัยด้านสถานศึกษากับกรอบความคิดผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครปฐม เขต 1 เพื่อนำผลการศึกษาไปใช้เป็นแนวทางพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มี ความพร้อมในการรับนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิด การขับเคลื่อนสถาบันการศึกษาให้สัมฤทธิ์ผลเป็นไปตามเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ต่อไป</p> อรณัชชา พูพวง, โสภี วิวัฒน์ชาญกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีขวาวนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2579 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ระบบนิเวศเชิงบริหารกับสมรรถนะการทำงานของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐมเขต 1 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2580 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ11) ศึกษาระดับระบบนิเวศเชิงบริหาร 2) ศึกษาระดับสมรรถนะการทำงาน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระบบนิเวศเชิงบริหารกับสมรรถนะการทำงานของบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐมเขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้การวิจัยคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ระบบนิเวศเชิงบริหาร โดยรวม มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือ นิเวศวิทยาภายใน รองลงมา คือนิเวศวิทยาภายนอก ตามลำดับ 2)สมรรถนะการทำงาน โดยรวม มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการทำงานเป็นทีม รองลงมา คือด้านการทำงานมุ่งผลสัมฤทธิ์ ตามลำดับ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างระบบนิเวศเชิงบริหารกับสมรรถนะการทำงาน โดยภาพรวม ภาวะระบบนิเวศเชิงบริหารมีค่าความสัมพันธ์ทางบวกกับสมรรถนะการทำงาน อยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 </p> โสรญา สุขเจริญ, โสภี วิวัฒน์ชาญกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีขวาวนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2580 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ของการบริหารงานบุคคลกับประสิทธิภาพการบริหารสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2583 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาระดับการบริหารงานบุคคล 2) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารสถานศึกษา 3)ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานบุคคลกับประสิทธิภาพการบริหารสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 396 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่า ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์โดยใช่ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานบุคคล โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับที่ 1 คือด้านการเลื่อนเงินเดือน รองลงมา คือด้านการเปลี่ยนตำแหน่งให้สูงขึ้น ด้านการลา และอันดับสุดท้ายคือด้านการวางแผนอัตรากำลัง ตามลำดับ 2) ประสิทธิภาพการบริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อันดับที่ 1 คือ ด้านลักษณะของงาน รองลงมา คือด้านความรับผิดขอบในงาน และอันดับสุดท้ายคือ ด้านความก้าวหน้าในงาน ตามลำดับ 3)ความสัมพันธ์ของการบริหารงานบุคคลกับประสิทธิภาพการบริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> จิตรกร มูลเมืองแสน, โสภี วิวัฒน์ชาญกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีขวาวนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2583 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของปัจจัยด้านผู้บริหารกับความเป็นเลิศในสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2585 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับอิทธิพลของปัจจัยด้านผู้บริหาร 2) ศึกษาระดับความเป็นเลิศในสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอิทธิพลของปัจจัยด้านผู้บริหารกับความเป็นเลิศในสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคลากรทางการศึกา จำนวน 396 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) อิทธิพลของปัจจัยด้านผู้บริหารโดยภาพรวม อยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อันดับที่ 1 คือ ด้านความเป็นผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร รองลงมาคือ ด้านนโยบายการบริหารงานวิชาการ และอันดับสุดท้ายคือ ด้านการสนับสนุนจากผู้บริหาร ตามลำดับ 2) ความเป็นเลิศในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อจำแนกเป็นรายด้านพบว่า อันดับที่ 1 คือ ด้านคุณภาพการนำ รองลงมา คือด้านคุณภาพครูและบุคลากรในสถานศึกษา ด้านคุณภาพผู้เรียน และอันดับสุดท้าย คือ ด้านคุณภาพการเรียนการสอน ตามลำดับ 3) อิทธิพลของปัจจัยด้านผู้บริหารกับความเป็นเลิศในสถานศึกษาของบุคลากรทางการศึกษา สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม มีค่าความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> สัญญา ศุภะดี, โสภี วิวัฒน์ชาญกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีขวาวนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2585 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 หนังประโมทัยอีสาน : รูปแบบการแสดงเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2586 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติ อัตลักษณ์ องค์ประกอบ ขนบ ความเชื่อ และวิถีชีวิตของคณะหนังประโมทัยในภาคอีสาน 2) ศึกษาปัญหาการแสดงหนังประโมทัยในปัจจุบัน 3) ประยุกต์รูปแบบการแสดงเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ดำเนินการในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้รู้ 5 คน ผู้ปฏิบัติ 5 คน สมาชิกเครือข่ายหนังประโมทัย 30 คน และประชาชนทั่วไป 30 คน รวม 70 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม สัมภาษณ์ สังเกต สนทนากลุ่ม ประชุมเชิงปฏิบัติการ และการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หนังประโมทัยเป็นศิลปะพื้นบ้านที่ผสมผสานหนังตะลุงกับหมอลำ ตัวละครหลักพูดภาษากลาง ตัวตลกและบริพารใช้ภาษาอีสาน เรื่องที่แสดงมาจากวรรณกรรมพื้นบ้านและวรรณคดี เช่น สังข์ศิลป์ชัย รามเกียรติ์ เป็นต้น มีศูนย์กลางที่อุบลราชธานี และแพร่หลายสู่จังหวัดอื่น ๆ คณะหนึ่งมีสมาชิก 5–10 คน 2) ความนิยมลดลง, เนื้อหาถูกลดทอน, ต้นทุนสูง, ขาดคนสืบทอด, และเวทีแสดงจำกัด 3) ปัจจุบันมีการประยุกต์รูปแบบ โดยลดเวลาแสดงเรื่อง เพิ่มดนตรีลูกทุ่ง เพื่อเข้าถึงผู้ชมทุกวัย การจัดการคณะมีลักษณะเชิงธุรกิจ กำหนดค่าจ้างและรูปแบบแสดงล่วงหน้า ถือเป็นการผสานศิลปะดั้งเดิมกับตลาดยุคใหม่อย่างลงตัว</p> ประสิทธิ์ มาตรวงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีขวาวนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2586 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาอาชีพหมอลำกลอน หมอแคนอย่างยั่งยืน https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2588 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพ สภาพปัจจุบันปัญหาของหมอลำกลอน หมอแคน 2) ศึกษาค้นหาแนวทางในการสร้างเครือข่ายหมอลำกลอน และหมอแคน 3) หาแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาหมอลำกลอน หมอแคนให้มีอาชีพอย่างยั่งยืน พื้นที่ในการศึกษาวิจัยได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง กลุ่มผู้รู้ จำนวน 5 คน กลุ่มผู้ปฏิบัติ จำนวน 5 คน สมาชิกกลุ่มเครือข่ายหมอลำ หมอแคน อย่างน้อย 2 กลุ่ม จำนวน 30 คน รวมจำนวน 40 คน และกลุ่มบุคคลทั่วไป จำนวน 30 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยแบบสำรวจ แบบสัมภาษณ์ การสังเกต การสนทนากลุ่ม และการประชุมเชิงปฏิบัติการ และการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าปัญหาของหมอลำและหมอแคน ขาดการรวมกลุ่มกันเพื่อความมั่นคงของวิชาชีพ ในด้านเวทีที่ไม่ได้มาตรฐานขาดความสวยงามจากไฟแสง สี เสียง เครื่องแต่งกายที่ดูล้าสมัย มีกลอนลำที่เก่าไม่ทันยุคสมัย ส่งผลให้เยาวชนที่มารับชมไม่สามารถตีความได้และอาจจะทำให้ขาดความนิยม และการประชาสัมพันธ์ที่เป็นวิธีการเดิมคือมีสำนักงานที่รอให้เจ้าภาพเข้ามาว่าจ้างเอง จึงใช้ปัญหาเหล่านี้มาถอดบทเรียนและเกิดการประชุมกลุ่มร่วมกันและได้ในแนวทางในการสร้างเครือข่ายหมอลำ หมอแคน เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มกันที่มั่นคงและสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน กล่าวโดยสรุปการแสดงหมอลำ หมอแคนเองจะโด่งดังหรือมีชื่อเสียงมากมายก็ตาม ท้ายที่สุดการแสดงเหล่านี้ก็ต้องอาศัยเครือข่ายที่ดี การบริหารจัดการที่มีระบบและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันจากผู้ที่ประกอบอาชีพศิลปินด้วยกัน</p> ชัยชิต พันชูกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีขวาวนคร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/joskn/article/view/2588 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700