https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/issue/feed
วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
2025-09-19T14:01:10+07:00
วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
jgsr.phrae@gmail.com
Open Journal Systems
<p><span style="font-size: 0.875rem;"> วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ รับบทความตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในสาขาที่เกี่ยวกับด้านพุทธศาสตร์ ด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บทความที่รับตีพิมพ์จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ และผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิกลั่นกรองบทความ (Peer Review) อย่างน้อย จำนวน 2 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double-blind Peer Review)</span></p> <p class="p1"><strong>กำหนดออกเผยแพร่<br /></strong>ปีละ 2 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน<br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p>
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/2827
ENGLISH INSTRUCTIONAL INNOVATION FOR LISTENING AND SPEAKING SKILLS THROUGH COLLABORATIVELEARNING APPROACH
2025-09-19T13:29:16+07:00
Panya Sunanta
panya.sunt@gmail.com
Boonmee Pansa
panya.sunt@gmail.com
Chuenarom Chantimachaiamorn
panya.sunt@gmail.com
<p>English instructional innovation for listening and speaking skills can be effectively enhanced through a collaborative learning approach.<br>The collaborative learning approach promotes active student engagement, interaction, and cooperation, allowing learners to develop their listening and speaking abilities in a supportive and interactive environment. Key elements of this approach include group discussions, pair work and role-playing, peer feedback, collaborative projects, language exchanges, and multimedia presentations. By assigning them to research, plan, and present information orally, they can practice both listening and speaking skills while working together towards a common goal, resulting in actively engaging with the language, learning from each other, and developing their confidence and fluency required for effective English communication.</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/2828
วัตถุมงคล : จากพุทธคุณสู่พุทธพาณิชย์ในสังคมไทย
2025-09-19T13:33:44+07:00
อภิชา สุขจีน
yanasophano@gmail.com
พระอนุสรณ์ เรืองปัญญารัตน์
yanasophano@gmail.com
ทิพวรรณ กันยะ
yanasophano@gmail.com
<p>การสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลทางพระพุทธศาสนา เป็นการแสดงออกถึงความเคารพและยอมรับนับถือในคุณของพระรัตนตรัย ที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ทางศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่สมัยอดีต ปัจจุบันท่ามกลางความเจริญของเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงทำให้ความเชื่อเรื่องวัตถุมงคลมีการเปลี่ยนไป ที่มิได้เน้นถึงการศรัทธาในคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่กลับให้ความสำคัญกับมูลค่าของวัตถุมงคลที่สร้างขึ้น จึงเกิดเป็นรูปแบบที่เรียกว่า “พุทธพาณิชย์” ปัจจุบันวัตถุมงคลต่างๆจึงเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ในขณะที่คุณค่าที่แท้จริงที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมกลับลดลง วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นกลับมีเป้าหมายในด้านการสร้างมูลค่าทางการตลาด บทความฉบับนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของวัตถุมงคลทางพระพุทธศาสนาจากพุทธคุณสู่พุทธพาณิชย์ในสังคมปัจจุบัน ที่จะต้องใช้ศรัทธาควบคู่ไปกับการใช้ปัญญาพิจารณาตามไปด้วยเช่นกัน</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/2829
ผู้สูงวัยกับการดำเนินชีวิตตามหลักพรหมวิหาร 4 และทิศ 6
2025-09-19T13:47:16+07:00
ณรงค์ ปัดแก้ว
narong2513@hotmail.com
รวีโรจน์ ศรีคำภา
narong2513@hotmail.com
<p>ปัจจุบันสังคมไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในบริบททุกพื้นที่ของชุมชนต่าง ๆนั้นมีประชากรผู้สูงวัยมากกว่าอดีต ประกอบกับสังคมไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก ซึ่งมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาและใช้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน</p> <p> ดังนั้น ในบทความนี้จึงได้นำเสนอประเด็นของผู้สูงวัย ได้แก่ หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาคือพรหมวิหาร 4 และทิศ 6 ในฐานะที่ผู้สูงวัยเป็นศาสนบุคคลที่เป็นองค์ประกอบของบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา จึงมีส่วนสำคัญในการนำหลักธรรมคำสอนไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้สูงวัย รวมทั้งบุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัยได้เรียนรู้เพื่อการปรับตัวกับบริบทและการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในตัวผู้สูงวัยเองและสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆผสมผสานกับการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาที่เอื้ออำนวยต่อผู้สูงวัยให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/2830
วิธีการทางปัญญาเพื่อกู้วิกฤตศรัทธาในพระพุทธศาสนา
2025-09-19T13:50:44+07:00
พระใบฎีกาสมชาย ฉินฺนาลโย
somchaiood072@gmail.com
<p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์นำเสนอรูปแบบการแก้ไขปัญหาวิกฤติศรัทธาในพระสงฆ์ตามหลัก ปุคคลัปปสาทสูตร วิกฤติศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพุทธศาสนา เพื่อเป็นแนวทางการแก้ปัญหาวิกฤติศรัทธาของพุทธบริษัททั้ง 4 ที่ควรตั้งมั่นในพระสัทธรรม ฝึกฝนอบรมตนเองโดยศึกษาสัมมาปฏิบัติพระสัทธรรมให้เข้าใจโดยถ่องแท้ ถ้าหากบุคคลมีศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญากล่าวคือ ตรองให้เห็นความจริงอย่างรอบคอบก่อนค่อยเชื่อและวางใจเป็นกลางตั้งมั่นเช่นนี้ย่อมทำให้การกระทำและคำพูดไปสู่ทิศทางที่เป็นสัมมาทิฏฐิ หากมีศรัทธาเพียงอย่างเดียวที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาจะส่งผลให้ความคิด การกระทำและคำพูดไปสู่ความทุกข์ยาก (สัทธาญาณวิปปยุต) ดังนั้น ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเนือง ๆ (สัทธาญาณสัมปยุต) คือ ความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างแยบคาย(โยนิโสมนสิการ) จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ความเชื่อนั้นมืดบอดและไร้ทิศทาง (มิจฉาทิฏฐิ) ย่อมจะเกิดผลที่เกื้อกูลหนุนนำให้ไปสู่สิ่งที่ดีงามแก่บุคคลผู้นั้นและสามารถดำเนินชีวิตไปตามครรลองครองธรรมที่มีความสุขได้</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/2831
แนวทางการจัดการขยะของชุมชนโดยใช้หลักเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน
2025-09-19T13:55:19+07:00
จันทร์เพ็ญ นวนบาง
nampat2009@hotmail.com
ทัดดาว พันธุ์เขียน
nampat2009@hotmail.com
นัยนา ชุ่มใจ
nampat2009@hotmail.com
พัชราภรณ์ บุญขำ
nampat2009@hotmail.com
<p>ขยะพลาสติกเป็นขยะปิโตรเลียมที่เกิดจากทั้งภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมที่ถูกทิ้งอยู่เป็นจำนวนมาก โดยขยะเหล่านี้ไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและเป็นภาระในการกำจัด บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการขยะของชุมชนโดยใช้หลักเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน ซึ่งค้นพบว่า ชุมชนมีกระบวนการ วิธีการในการจัดการขยะมูลที่ให้ความสำคัญกับทรัพยากรที่มีอยู่ด้วยกระบวนการที่ว่า “คิดก่อนใช้ ใช้แล้วใช้อีก นำกลับมาใช้ใหม่” ซึ่งก็เป็นหลักการของ 3Rs ซึ่งกระบวนการนี้มีขยะพลาสติกซึ่งมีเพียงน้อยมากที่ถูกนำกลับมาใช้อีกในลักษณะต่างๆ การนำขยะพลาสติกมาแปรรูปเป็นพลังงาน ด้วยกระบวนการไพโรไลซิส เป็นกระบวนการเปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน ด้วยความร้อนปานกลางในบรรยากาศที่ปราศจากออกซิเจนหรือมีออกซิเจนในปริมาณที่น้อยมาก ซึ่งการนำขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นมาแปรรูปเป็นพลังงานทดแทนจะช่วยลดปัญหาได้หลายด้าน และยังเป็นวัตถุดิบพลังงานทดแทนช่วยลดปัญหาวิกฤติพลังงานได้อีกด้วย</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/2832
การสร้างนวัตกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน : การเตรียมความพร้อม การมีส่วนร่วม และการพัฒนาผู้ประกอบการ
2025-09-19T14:01:10+07:00
ยมลพร สิทธิ
saijai77811@gmail.com.th
สาธิต มณีโชติ
saijai77811@gmail.com.th
ขวัญชนก ชินวงษ์
saijai77811@gmail.com.th
วราลักษณ์ เรืองรุ่งวีรกุล
saijai77811@gmail.com.th
สายใจ ยอดเพ็ชร
saijai77811@gmail.com.th
ธนัสถา โรจนตระกูล
saijai77811@gmail.com.th
<p>การสร้างนวัตกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาการท่องเที่ยว ซึ่งนับได้ว่าเป็นรากฐานในการสร้างคุณค่าและความยั่งยืนแก่ทรัพยากรทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนท้องถิ่นนั้นๆ ทั้งยังเป็นการยกระดับนวัตกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนสู่ความเป็นมาตรฐานทั้งในระดับชาติและระดับสากล ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพราะนอกจากที่ชุมชนจะได้พัฒนาศักยภาพของตนเองและพื้นที่แล้ว ชุมชนยังได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวอิสระ ในการรับข้อมูลและความสามารถในการรองรับของชุมชนที่ได้มาตรฐานรองรับส่งผลให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ตลอดจนเกิดประโยชน์ในมิติที่หลากหลาย อันนำไปสู่การยกระดับระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1672
ทัศนคติของประชาชนที่มีต่อประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ ตามมาตรา 305 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2564
2025-04-09T10:54:29+07:00
ภูมิศักดิ์ ภัทรตระกูลกิจ
6406006152@rumail.ru.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ และ ศาสนา รายได้ กับทัศนคติของประชาชนที่มีต่อประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ ตามมาตรา 305 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2564 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการกล่อมเกลาทางสังคมกับทัศนคติของประชาชนที่มีต่อประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ ตามมาตรา 305 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2564 และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการสร้างการยอมรับต่อประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ ตามมาตรา 305 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นวิจัยเชิงปริมาณ และใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือประชาชนที่อาศัยอยู่ใน อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี อายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 384 คน สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ ศาสนา แตกต่างกันมีผลต่อทัศนคติของประชาชนที่มีต่อประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ ตามมาตรา 305 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2564 แตกต่างกัน ส่วนปัจจัยส่วนบุคคลด้าน รายได้และอาชีพที่แตกต่างกัน มีทัศนคติที่ไม่แตกต่างกัน 2) ปัจจัยการกล่อมเกลาทางสังคม มีความสัมพันธ์กับทัศนคติของประชาชนที่มีต่อประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ ตามมาตรา 305 (5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2564 แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย ได้แก่ การประกาศใช้กฎหมายควรสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนผ่านสื่อต่าง ๆ ให้มากที่สุดเพื่อปรับความเข้าใจ และภาครัฐควรแสดงบทบาท กำชับ และแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุก่อนการใช้กฎหมายอย่างเต็มความสามารถ</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1674
การศึกษาสภาพปัจจุบัน ความต้องการ และสังเคราะห์ชุดความรู้ในการพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา
2025-04-09T13:36:35+07:00
ปิยะพงษ์ มอญแสง
dechawee@hotmail.com
วสันต์ สรรพสุข
dechawee@hotmail.com
<p> บทความวิจัยนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย เรื่อง การพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำฝางโดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อเสริมสร้างพลเมืองท้องถิ่นตื่นรู้ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นลุ่มน้ำฝาง 2. ศึกษาความความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำฝาง 3. สังเคราะห์ชุดความรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำฝาง โดยผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) และรวมรวบข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบบันทึกภาคสนาม แบบการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์สรุปอุปนัย (Analytic Induction) ร่วมกับการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันในการพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำฝาง มีเนื้อหาประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับตำนาน และประวัติศาสตร์กระแสหลัก ซึ่งการสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ใช้อยู่ไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน นักเรียนมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย 2. ความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำฝาง ควรนำเรื่องในท้องถิ่นมาบรรจุในเนื้อหา จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ปฏิบัติ ลงพื้นศึกษาเรียนรู้ร่วมกับคนในชุมชนด้วยเนื้อหาเชิงลึกและสะท้อนความเป็นจริง ปราชญ์ชุมชนต้องการพัฒนาชุมชนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต และเป็นวิทยากรท้องถิ่นได้ 3. การสังเคราะห์ชุดความรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำฝางสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา จำแนกได้ 3 ยุค 1) ความรู้ในอดีต 2) ความรู้ในปัจจุบัน 3) ความรู้ในอนาคต</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1675
ความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1
2025-04-09T13:49:20+07:00
ภูมิ คำยอด
poomk65@nu.ac.th
สถิรพร เชาวน์ชัย
poomk65@nu.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 291 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการตัดสินใจของผู้นำ 2) ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการกำหนดนโยบายและการบริหารสถานศึกษา และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 มีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูง (r=.851) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1676
การพัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน สำหรับครูผู้สอนการศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1
2025-04-09T14:01:56+07:00
อุเทน วีระคำ
boyweeracome@gmail.com
<p> บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน และเพื่อศึกษาผลการใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน กลุ่มตัวอย่าง เป็นครูผู้สอนการศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 28 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากโรงเรียนที่สนใจที่สมัครเข้าร่วมโครงการ ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการ 3 ระยะ ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน (ปีการศึกษา 2566) ระยะที่ 2 การทดลองใช้และการพัฒนาคู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน (ปีการศึกษา 2567) ระยะที่ 3 การขยายผลการใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน (ปีการศึกษา 2567) โดยนำกระบวนการนิเทศการศึกษามาปรับใช้ 6 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการและกำหนดจุดพัฒนา ขั้นที่ 2 การวางแผนการพัฒนา/การวางแผนการนิเทศ ขั้นที่ 3 การสร้างสื่อและเครื่องมือนิเทศ ขั้นที่ 4 การปฏิบัติการนิเทศ ขั้นที่ 5 การติดตามประเมินผล และขั้นที่ 6 การสรุปรายงานและเผยแพร่ผลงาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน 2) แบบทดสอบการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน 3) แบบสอบถามความคิดเห็นต่อคู่มือ 4) แบบประเมินคุณภาพรายงานวิจัยในชั้นเรียน และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที (t-test) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และพรรณาความ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน มีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> = 84.96/84.76 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub>= 80/80 ที่กำหนดไว้ ความรู้ด้านการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน หลังได้รับการนิเทศและใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอนการศึกษาพิเศษ สูงกว่าก่อนได้รับการนิเทศและใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 รายงานการวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอนการศึกษาพิเศษ ที่ได้รับการนิเทศและใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน โดยรวมในระดับดีมาก ความพึงพอใจของครูผู้สอนการศึกษาพิเศษที่มีต่อการใช้คู่มือการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนโดยรวมในระดับมากที่สุด </p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1677
กระบวนการจัดทำแผนแม่บทเพื่อการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง จังหวัดน่าน
2025-04-09T14:19:13+07:00
พระยุวราช โกวิทกุสโล (โล๊ะกาแก้ว)
yuwrachl@gmail.com
พระชยานันทมุนี
yuwrachl@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแผนแม่บทกับหลักการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาตามมติมหาเถรสมาคม 2) เพื่อศึกษาแผนแม่บทเดิมของวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง จังหวัดน่าน และ 3) เพื่อศึกษากระบวนการจัดทำแผนแม่บทกับหลักการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาของวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง จังหวัดน่าน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 25 รูป/คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การจัดทำแผนแม่บททางพระพุทธศาสนา ดำเนินตามพันธกิจคณะสงฆ์ คือ1) ด้านการปกครอง 2) ด้านศาสนศึกษา 3) ด้านศึกษาสงเคราะห์ 4) ด้านเผยแพร่ 5) ด้านสาธารณูปการ 6) ด้านสาธารณสงเคราะห์ มีบทบาทโดยตรงต่อการปฏิรูป 4 ด้าน คือ 1) สร้างความมั่นคงด้านพระพุทธศาสตร์ 2) ยกระดับกระบวนการบริหารจัดการภายใน 3) พัฒนาองค์กร แห่งการเรียนรู้เชิงพุทธ และ 4) มีทรัพยากรเพียงพอในการขับเคลื่อนกิจการพระพุทธศาสนา</p> <p> แผนแม่บทเดิมของวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง จังหวัดน่าน มีการจัดทำและถือปฏิบัติแผนปฏิบัติงานมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ผ่านการวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ จากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายฝ่าย ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมการจัดการศึกษาทางด้านพระพุทธศาสนา 2) ส่งเสริมศาสนทายาท 3) รักษาอนุรักษ์ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมอันดีงาม 4) รักษาอนุรักษ์ฟื้นฟูจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมต่อการเป็นวัดอันเป็นศาสนสถานที่สำคัญปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ภายในเขตโบราณสถานและศาสนสถาน</p> <p> กระบวนการจัดทำแผนแม่บทกับหลักการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาของวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง จังหวัดน่าน มี 4 กระบวนการ ได้แก่ 1) ประชุมเพื่อทบทวนแผนแม่บทเดิมของวัด 2) มีการแบ่งกลุ่มทำ SWOT Analysis มีการวิเคราะห์จุดเด่น และจุดด้อยของแผนแม่บทเดิม 3) ระดมความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ละฝ่าย 4) จัดทำแผนแม่บทใหม่ เพื่อพัฒนาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์ โดยให้ความสำคัญและมุ่งเน้นกับการพัฒนาด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับหลักการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ทั้ง 6 ด้าน</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1678
การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน บูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชนเพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้บูรณาการ การประกอบการของครูและคุณลักษณะการประกอบการของผู้เรียน โรงเรียนเทศบาล 1 (พะเยาประชานุกุล)
2025-04-09T14:42:08+07:00
ศศิณัฎฐ์ ชัยศร
Sasinat.boom@gmail.com
<p> บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน (School-based Management integrated with Entrepreneurship Education into Local Enterprise : SBM-ELE Model) 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน (School-based Management integrated with Entrepreneurship Education into Local Enterprise : SBM-ELE Model) เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้บูรณาการการประกอบการของครูและคุณลักษณะการประกอบการของผู้เรียน 3) ศึกษาผลสัมฤทธิ์การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน (School-based Management integrated with Entrepreneurship Education into Local Enterprise: SBM-ELE Model) เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้บูรณาการการประกอบการของครูและคุณลักษณะการประกอบการของผู้เรียน โรงเรียนเทศบาล 1 (พะเยาประชานุกูล) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดเทศบาลเมืองพะเยา จำนวน 10 คน และครูผู้สอน จำนวน 25 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม จำนวน 2 ชุด แบบปะเมิน จำนวน 6 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การสนทนากลุ่ม โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการศึกษาวิจัย พบว่า</p> <p> 1. สภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการของผู้บริหารและครูเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน</p> <p> ปัจจุบัน โรงเรียนเทศบาล 1 (พะเยาประชานุกูล) มีการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน มีหลักสูตรบูรณาการการจัดการศึกษาเพื่อการประกอบการ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ในการบริหารจัดการประสบปัญหา คือ 1) ปัญหาด้านการบริหารจัดการ 2) ปัญหาด้านครูและบุคลากรทางการศึกษา 3) ปัญหาด้านผู้เรียน 4) ปัญหาด้านชุมชน ดังนั้นจึงมีความต้องการ การจัดการศึกษาเพื่อการประกอบการที่เหมาะสม ครู บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ สื่อนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อการเรียนรู้ การประสานความร่วมมือเครือข่ายองค์กรภายนอก งบประมาณด้านการจัดการเรียนการสอน และการสร้างความพร้อมและความตระหนักของทุกภาคส่วน</p> <p> 2. การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน (School-based Management integrated with Entrepreneurship Education into Local Enterprise: SBM-ELE Model) เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้บูรณาการการประกอบการของครูและคุณลักษณะการประกอบการของผู้เรียน โรงเรียนเทศบาล 1 (พะเยาประชานุกูล) ประกอบด้วย หลักการกระจายอำนาจ หลักการมีส่วนร่วม หลักการบริหารตนเอง หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน หลักกาตรวจสอบและถ่วงดุล โปร่งใส รับผิดชอบ และหลักการมีภาวะผู้นำที่เกื้อหนุน โดยมีการกำหนดแผนพัฒนาการศึกษาและทิศทางการจัดการศึกษา ปรับปรุงหลักสูตร บูรณาการจัดการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้สู่ผู้เรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยผ่านการจัดทำโครงการ โครงการการพัฒนาระบบการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อพัฒนาการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน โครงการนิเทศภายในเพื่อพัฒนาการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน และโครงการส่งเสริมศักยภาพผู้เรียนสู่การเป็นผู้ประกอบการ</p> <p> 3. ผลสัมฤทธิ์การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานบูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน (School-based Management integrated with Entrepreneurship Education into Local Enterprise: SBM-ELE Model) เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้บูรณาการการประกอบการของครูและคุณลักษณะการประกอบการของผู้เรียน โรงเรียนเทศบาล 1 (พะเยาประชานุกูล)</p> <p> 3.1 ความพึงพอใจของครูที่มีต่อระบบการบริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก</p> <p> 3.2 ความสอดคล้อง เชื่อมโยงและเหมาะสม ของหลักสูตรส่งเสริมคุณลักษณะความเป็นผู้ประกอบการของผู้เรียน โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก </p> <p> 3.3 ความสอดคล้อง เชื่อมโยงและเหมาะสม ของแผนการจัดการ เรียนรู้ที่บูรณาการการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก</p> <p> 3.4 คุณภาพของการนิเทศภายในเพื่อพัฒนาการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p> 3.5 คุณภาพของการจัดการเรียนรู้บูรณาการการประกอบการของครู โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก</p> <p> 3.6 คุณภาพของผู้เรียนที่มีคุณลักษณะจากการศึกษาเพื่อการประกอบการสู่วิสาหกิจชุมชน โดยภาพรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก </p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1679
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพการให้บริการประชาชน ของสำนักงานอัยการจังหวัดน่าน
2025-04-09T14:59:38+07:00
ณัฏฐ์พิชญา วีระขันคำ
natphit.w@gmail.com
พระครูสุตนันทบัณฑิต
natphit.w@gmail.com
ธิติวุฒิ หมั่นมี
natphit.w@gmail.com
<p> บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการให้บริการประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัดน่าน 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุธรรมกับการให้บริการประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัดน่าน 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการให้บริการประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัดน่าน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 186 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. ระดับการให้บริการประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัดน่าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.66) เมื่อจำแนกเป็นรายด้านเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย ด้านการให้บริการอย่างก้าวหน้า รองลงมา คือ ด้านการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ด้านการให้บริการอย่างทันต่อเวลา ด้านการให้บริการอย่างเสมอภาค และสุดท้ายด้านการให้บริการอย่างเพียงพอ ส่วนระดับความคิดเห็นต่อหลักสังคหวัตถุ 4 ในการให้บริการประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัดน่าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 64) ทุกด้าน</p> <p> 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุ 4 กับคุณภาพการให้บริการประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัดน่าน โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างสูง (R=.722) จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า หลักสังคหวัตถุ 4 มีความสัมพันธ์กับคุณภาพ การให้บริการประชาชน มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จึงยอมรับสมมติฐาน</p> <p> 3. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัดน่าน พบว่า 1) การให้บริการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การบริการที่ดีอย่างเป็นมิตรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ตามลำดับขั้นตอนครบถ้วน 2) การให้บริการด้วยความพร้อม ตรงต่อเวลา รวดเร็ว มีการจัดลำดับการให้บริการ ตามขั้นตอน การให้บริการด้วยความถูกต้อง รอบคอบตามระเบียบกฎหมาย 3) บุคลากรมีความพร้อมและความรู้ ในการให้บริการเพียงพอกับผู้มาขอรับบริการ มีความพร้อมของวัสดุอุปกรณ์อย่างเพียงพอ ครบถ้วน ทันสมัย 4) การให้บริการที่เป็นไปอย่าง สม่ำเสมอต่อเนื่อง ด้วยความเต็มใจ เอาใจใส่ทุกขั้นตอน โดยยึดประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นหลัก 5) การพัฒนาระบบการให้บริการให้ทันต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดเวลาในการขอรับบริการ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำมาปรับปรุงการปฏิบัติงาน</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1680
คุณภาพการให้บริการประชาชนตามหลักสังคหวัตถุธรรม ของเทศบาลตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน
2025-04-09T15:11:47+07:00
อัครวัฒน์ พงษ์รัตนานุกูล
Bigarch5@gmail.com
ธีรทัศน์ โรจน์กิจจากุล
Bigarch5@gmail.com
เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง
Bigarch5@gmail.com
<p> บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุธรรมกับคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 3. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนตามหลักสังคหวัตถุธรรมของเทศบาลตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 287 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. คุณภาพการให้บริการประชาชนตามหลักสังคหวัตถุธรรมของเทศบาลตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน อยู่ในระดับมาก ทุกด้าน ส่วนระดับความคิดเห็นต่อหลักสังคหวัตถุ 4 ในการให้บริการประชาชนของเทศบาลตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน</p> <p> 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุ 4 กับคุณภาพการให้บริการประชาชนของเทศบาลตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างสูงมาก (R=.908**)จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า หลักสังคหวัตถุ 4 มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการให้บริการประชาชน มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จึงยอมรับสมมติฐานงานวิจัย</p> <p> 3. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนตามหลักสังคหวัตถุธรรมของเทศบาลตำบลนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน พบว่า 1) ให้บริการ กับผู้มารับบริการทุกคน ฉันท์พี่น้อง ไม่แบ่งชนชั้น ไม่แบ่งฐานะ โดยใช้มาตรฐาน แบบฟอร์มเดียวกัน ปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนเหมือนกัน ให้บริการด้วยความเท่าเทียมกัน โดยไม่มีสิทธิพิเศษใด ๆ ในมาตรฐานอันเดียวกัน 2) การให้บริการด้วยความพร้อม มีการวางแผนงานการปฏิบัติงานให้ถูกต้อง กระชับ รวดเร็ว ตรงต่อเวลา มีการจัดลำดับการให้บริการ ตามลำดับขั้นตอน การให้บริการด้วยความถูกต้อง รอบคอบตามระเบียบของทางราชการ 3) บุคลากรมีความพร้อมและความรู้ในการให้บริการเพียงพอกับผู้มาขอรับบริการ มีความพร้อมของวัสดุอุปกรณ์อย่างเพียงพอ ครบถ้วน ทันสมัย พร้อมให้บริการด้วยความสะดวก รวดเร็ว เกิดความพึงพอใจกับผู้รับบริการ 4) การให้บริการที่เป็นไปอย่าง สม่ำเสมอต่อเนื่อง เพื่อทำให้ผู้ที่เข้ารับบริการพึงพอใจในระดับที่ดีไม่มีการปล่อยปะละเลยในการแก้ไขปัญหาให้กับผู้มาขอรับบริการ เพื่อให้การทำงาน บรรลุผลสำเร็จ ด้วยความเต็มใจ พัฒนาปรับปรุงการให้บริการให้รวดเร็วและถูกต้องที่สุด มีการติดตาม ประชาสัมพันธ์แจ้งข่าวสารที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้รับบริการอย่างสม่ำเสมอ 5) การพัฒนาระบบการให้บริการให้ทันต่อความก้าวหน้า นำเอาเทคโนโลยีมาช่วยในการให้บริการประชาชน เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดเวลาในการขอรับบริการ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและประหยัด และให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช้แบบสิ้นเปลือง</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1681
การบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียนโรงเรียนเอกชน อำเภอชนแดนและอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์
2025-04-09T15:22:47+07:00
ภานุธานกร เพชรทองธนกุล
pppanuthanagon@gmail.com
พิสิษฐ์ ยอดวันดี
pppanuthanagon@gmail.com
<p> บทความนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาขอบข่ายการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียนโรงเรียนเอกชน อำเภอชนแดนและอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ 2) เพื่อพัฒนาการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียนโรงเรียนเอกชนอำเภอชนแดนและอำเภอวิเชียรบุรี 3) เพื่อเปรียบเทียบขอบข่ายการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียนโรงเรียนเอกชน อำเภอชนแดนและอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร ครู และบุคลากรจำแนกตามระยะเวลาการปฏิบัติงานและรายได้ จำนวนประชากร 320 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่แบบสอบถามมาตราส่วนประเมิน 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ระหว่าง 0.67-1.00 ซึ่งถือว่าแบบสอบถามมีความสอดคล้องเหมาะสม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช่ค่า ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความถี่ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) หรือการทดสอบเอฟเทส (F-Test) ระหว่างตัวแปรรายได้ และทดสอบทีเทส (T-test ) ระหว่างตัวแปรระยะเวลาการปฏิบัติงาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ขอบข่ายงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียน โรงเรียนเอกชน อำเภอชนแดน และอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วย 8 ด้าน คือ 1. การพัฒนาหรือดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่น 2. การวางแผนงานด้านวิชาการ 3. การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา 4. การพัฒนาหลักสูตรในสถานศึกษา 5. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 6. การวัดผลประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน 7. การคัดเลือกหนังสือแบบเรียนเพื่อใช้ในสถานศึกษา และ 8. การพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา</p> <p> 2) การบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียน โรงเรียนเอกชน อำเภอชนแดน และอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (<em>μ</em><em> =</em> 4.08 ),( σ = 0.67 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียน โรงเรียนเอกชน อำเภอชนแดนและอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้แก่ 1. ด้านการคัดเลือกหนังสือ 2. แบบเรียนเพื่อใช้ในสถานศึกษา 3. ด้านการวัดผล ประเมินผลและดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน 4. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 5. การพัฒนาหรือดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่น 6. ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา 7. ด้านการพัฒนาหลักสูตรในสถานศึกษา ด้านการจัดการเรียนการสอน<br>ในสถานศึกษา 8. ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ</p> <p> 3) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียน โรงเรียนเอกชน อำเภอชนแดน และอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ พบว่า ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน มีการบริหารงานที่แตกต่างกัน มีผลต่อการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียน ส่วนรายได้ ที่แตกต่างกัน มีผลต่อการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 1. ผู้บริหารงานวิชาการที่มีระยะเวลาในการปฏิบัติงานต่างกันมีการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียนแตกต่างกัน เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และเมื่อพิจารณารายด้านก็พบว่า มีความแตกต่างกัน 2. ผู้บริหารงานวิชาการที่มีรายได้ต่างกันมีความคิดเห็นการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียนแตกต่างกันเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และเมื่อพิจารณารายด้านก็พบว่ามีการบริหารงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ .05 (p = 0.001) และ 3) ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์สู่ความเป็นเลิศทางการเรียน โรงเรียนเอกชน อำเภอชนแดน และอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ พบว่าการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา แตกต่างกัน และเมื่อจำแนกตามระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน<br>และรายได้</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1693
การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของโรงเรียนขยายโอกาสในกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษา อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง
2025-04-10T14:00:34+07:00
วีระพล โยระภัตร
Weerapon82@gmail.com
พนิดา สินสุวรรณ
Weerapon82@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง 2) เพื่อศึกษาการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของครูผู้สอนในกลุ่มเครือข่ายอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง เป็นการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดย ประชากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 8 คน ครูผู้สอนของกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาเถิน 1 - 4 จำนวน 47 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบสอบถามบทบาทการจัดการเรียนการสอนและการดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านคุณธรรมจริยธรรมของครูผู้สอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นรายข้อ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารสถานศึกษามีระบบในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยยึดหลักการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนตามที่สำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดไว้ มีการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมจากทางโรงเรียนและจากหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง โดยผู้บริหารและครูประจำชั้นมีการมีติดต่อประสานงานกับผู้ปกครองและเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการดูแลนักเรียนร่วมกันระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง และ 2) การจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของครูผู้สอนในกลุ่มเครือข่ายอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง พบว่าโดยรวม อยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากสูงที่สุดไปหาต่ำที่สุด พบว่า สูงที่สุด คือ ด้านความสะอาด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยของระดับการปฏิบัติ ต่ำที่สุด คือ ด้านการมีน้ำใจ</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1696
การประเมินผลการพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการบริหารงานวิชาการโดยใช้ S-MARI Model ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดลำปาง
2025-04-10T14:26:16+07:00
พีระพัชร์ มหาวรรณ์
peerapat5858@gmail.com
กาญจนา ภาสุรพันธ์
peerapat5858@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในจังหวัดลำปาง และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานวิชาการ และประเมินผลการใช้รูปแบบ S–MARI Model ในการพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานวิชาการ ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในจังหวัดลำปาง โดยศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากร ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้บริหาร ครูฝ่ายวิชาการ และครูผู้สอนที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จังหวัดลำปางในปีการศึกษา 2567 จำนวน 65 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในจังหวัดลำปาง และแบบสอบถามการประเมินรูปแบบ S–MARI Model ในการพัฒนาบุคลากรด้านทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานวิชาการ ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในจังหวัดลำปาง ผู้ศึกษาดำเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้ Google Form นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (µ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<sup>s</sup>)</p> <p> ผลการศึกษาสรุปได้ ดังนี้</p> <p> 1. การศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในจังหวัดลำปาง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานวิชาการทั้ง 4 ด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการจัดการเรียนรู้มี รองลงมา คือ ด้านการบริหารหลักสูตร ด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนและงานทะเบียนนักเรียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการจัดสื่อการเรียนรู้ ตามลำดับ</p> <p> 2. การศึกษาแนวทางการพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานวิชาการ และประเมินผลการใช้รูปแบบ S–MARI Model ในการพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานวิชาการ ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในจังหวัดลำปาง พบว่า ผลการพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารงานวิชาการ โดยใช้รูปแบบ S–MARI Model ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1805
การพัฒนารูปแบบการบริหารงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่
2025-04-24T15:28:32+07:00
พรหมเรศ แก้วโมลา
Phrom.1969@gmail.com
พระวุฒิชัย ขนฺติพโล
Phrom.1969@gmail.com
พระอธิการศักดิ์ดา สุวรรณทา
sakda-191@hotmail.com
พระมหาชนินทร์ ลิขสิทธิพันธุ์
Phrom.1969@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ และ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งเป็นผู้บริหารและอาจารย์ผู้สอนในระดับบัณฑิตศึกษาวิทยาเขตแพร่ จำนวน 10 รูป/คน จากนั้นทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) รูปแบบการบริหารงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ มีการแบ่งการบริหารเป็น 3 กลุ่มงานที่ครอบคลุมขอบเขตภาระงานของบัณฑิตศึกษา คือ (1) กลุ่มงานวิชาการ วิจัยและมาตรฐานคุณภาพการศึกษา มีขอบข่ายงานตามแผนงานครอบคลุมด้านงานวางแผนด้านการจัดการศึกษา วิเคราะห์และพัฒนาหลักสูตร งานวิจัย และงานมาตรฐานและงานประกันคุณภาพการศึกษา (2) กลุ่มงานบริหาร รับผิดชอบงานเกี่ยวกับงานธุรการงบประมาณ การเงินและบัญชี งานพัสดุ นโยบายและแผนพัฒนา และ (3) กลุ่มงานทะเบียนวัดผลและสารสนเทศ ของบัณฑิตศึกษาวิทยาเขตแพร่ มีการบริหารการดำเนินงานเกี่ยวกับ งานทะเบียนและวัดผล งานปฏิทินการศึกษา และงานห้องสมุดและเทคโนโลยี</p> <p> 2) ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ พบว่า ได้รูปแบบการบริหารบัณฑิตศึกษาวิทยาเขตแพร่ โดยมีการจัดทำแผนพัฒนาบัณฑิตศึกษาวิทยาเขตแพร่ และแบ่งการบริหารเพิ่มเติมแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ (1) ด้านวิชาการ มีขอบข่ายงานเพิ่มเติม คือ งานวางแผนด้านการจัดการศึกษา วิเคราะห์และพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาคุณภาพของบัณฑิต การพัฒนาด้านการวิจัย ส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการวิชาการแก่สังคม งานทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม (2) ด้านบุคลากร ผู้วิจัยกำหนดขอบข่ายงานด้านบุคลากร คือ การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาอาจารย์ เจ้าหน้าที่สนับสนุน ให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายของสถาบันการศึกษา และ (3) ด้านการบริหาร มีขอบข่ายงานด้านการบริหาร การประสานงาน ส่งเสริม สนับสนุน การอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการศึกษาทุกรูปแบบของสถาบันการศึกษา</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1878
การศึกษาสภาพปัจจุบัน และความต้องการจำเป็นของการบริหารจัดการ แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง
2025-04-28T14:02:10+07:00
คณิศร ผู้มีทรัพย์
lkanisorn2534@gmail.com
ดารณีย์ พยัคฆ์กุล
lkanisorn2534@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง รูปแบบการวิจัยเป็นเชิงสำรวจ ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา และรองผู้อำนวยการสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง ปีการศึกษา 2566 จำนวน 27 โรงเรียน จำนวน 88 คน ข้าราชการครู จำนวน 218 คน โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบสัดส่วนและการสุ่มอย่างง่าย (Proportional random sampling) รวมทั้งสิ้น 306 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามเพื่อการวิจัย ค่าสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (Modified Priority Need index (PNI)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภาพรวมของสภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น รองลงมา คือ ด้านการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ตามลำดับ และภาพรวมของความต้องการจำเป็นของการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการพัฒนาบุคลากร รองลงมา คือ คือ ด้านการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ตามลำดับ และลำดับความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต มีค่าดัชนีในภาพรวมเท่ากับ 0.066 ด้านที่มีค่าดัชนีมากที่สุด คือ ด้านการตรวจสอบและติดตามในกระบวนการทุกขั้นตอน รองลงมา ด้านการนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินผล ด้านการพัฒนา การออกแบบ และเชื่อมโยงองค์ความรู้ ตามลำดับ</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1879
บทบาทของพระพุทธศาสนาในประเพณีเลี้ยงแสง บ้านนาแผก เมืองอาดสะพังทอง แขวงสะหวันนะเขด สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2025-04-28T14:17:20+07:00
พระทองดำ แก้วมะไลวัน
thongdam5475@gmail.com
โสภณ บัวจันทร์
thongdam5475@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มี วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของประเพณีเลี้ยงแสง บ้านนาแผก เมืองอาดสะพังทอง แขวงสะหวันนะเขด สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อศึกษาความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีเลี้ยงแสงฯ และเพื่อศึกษาบทบาทของพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในประเพณีเลี้ยงแสงฯ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้ข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก 20 รูป/คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ประวัติความเป็นมาของประเพณีเลี้ยงแสงฯ เกิดมาจากความเคารพที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผี วิญญาณ เทวดา ซึ่งผูกพันอยู่กับชาวบ้านนาแผก โดยพวกเขาถือว่า วิญญาณบรรพบุรุษ (ผีปู่ตา) เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์ สามารถดลบันดาลสิ่งดีร้ายต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้ มีหน้าที่ปกปักรักษาลูกหลานที่ประพฤติดีให้อยู่ดีมีความสุข, ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีเลี้ยงแสงฯ เกิดจากความต้องการของคนหมู่มากที่ต้องการให้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดี ปราศจากอุปัทวันตราย ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เป็นการปกปักรักษาป่าไม้ในบริเวณป่าผีแสงให้มีความอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านนาแผกยังเชื่อว่าการนับถือผีแสงทำให้การเพาะปลูกเจริญงอกงาม ได้รับผลผลิตมาก, บทบาทของพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในประเพณีเลี้ยงแสงฯ ด้านการประนีประนอมกับความเชื่ออื่น ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดา ผีปู่ย่าตายายและพิธีกรรมที่ทำต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนบทบาทด้านการมีส่วนร่วมในพิธีกรรมของพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในประเพณีเลี้ยงแสงฯ คือ การถวายทานเพื่ออุทิศส่วนบุญถึงดวงวิญญาณของปู่ย่าตายายหรือสรรพสัตว์โดยจัดงานอย่างครื้นเครงและถวายทานที่วัด ประเพณีเลี้ยงแสงที่บ้านนาแผกที่โดดเด่นและแตกต่างจากที่อื่น คือมีการจัดงานปีละ 2 ครั้ง คือครั้งที่ 1 จัดวันขึ้น 3 ค่ำเดือนสาม เพื่อเป็นการบอกกล่าวให้ผีแสง หรือปู่ตาได้รับรู้ว่าถึงฤดูกาลเตรียมตัวปลูกข้าวและครั้งที่ 2 จัดวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 6 เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าถึงเวลาปลูกข้าว ทำนา ทำไร่ และขอพรให้มีผลการเพาะปลูกดีและเจริญงอกงาม</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1881
องค์ความรู้และการบริบาลพระสงฆ์อาพาธตามหลักพระธรรมวินัย โดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในชุมชน
2025-04-28T14:31:54+07:00
พิศมัย สิริเดชดำรง
pitsiri1612@gmail.com
พระครูสิริธรรมบัณฑิต
pitsiri1612@gmail.com
พระครูสุตชยาภรณ์
pitsiri1612@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ความรู้การบริบาลพระสงฆ์อาพาธตามหลักพระธรรมวินัย 2) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริบาลพระสงฆ์อาพาธตามหลักพระธรรมวินัยและศาสตร์ทางการแพทย์แบบองค์รวม และ 3) เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในชุมชนในการสร้างองค์ความรู้ในการบริบาลพระสงฆ์อาพาธตามหลักพระธรรมวินัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลรวบรวมข้อมูล ได้แก่ รวบรวมข้อมูลทางเอกสาร (Document) และจากการสัมภาษณ์ ซึ่งประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ พื้นที่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 23 รูปคน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 1) พระสงฆ์ที่มีความรู้ด้านพระธรรมวินัย จำนวน 3 รูป 2) พระบริบาลพระสงฆ์อาพาธ จำนวน 5 รูป 3) จิตอาสา/สาธารณสุข จำนวน 5 คน 4) บุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 5 คน 5) ผู้ดูแลผู้ป่วย จำนวน 5 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1. พระสงฆ์ทราบและเข้าใจหลักพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี แม้ว่าพระจะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อร่างกายเจ็บป่วยก็จำเป็นต้องยอมรับการรักษาจากแพทย์เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงกลับมาปฏิบัติศาสนกิจได้ เพื่อรักษาสุขภาพ เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ให้ความร่วมมือต่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำแนะนำและรักษาตามหลักวิชาการ เพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด และเพื่อความสะดวกในการรักษา</p> <p> 2. การพัฒนาองค์ความรู้การบริบาลพระสงฆ์อาพาธ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะและความรู้ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย อาทิ พระบริบาล, จิตอาสา, บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ดูแลผู้ป่วย ให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้และทักษะในการดูแลพระสงฆ์อาพาธอย่างถูกวิธี ทั้งในด้านการดูแลร่างกายและจิตใจ ทำให้การดูแลพระสงฆ์อาพาธมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีขวัญและกำลังใจในการรักษา การดูแลที่ได้มาตรฐาน ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ตรงตามความต้องการและได้รับความพึงพอใจ</p> <p> 3. การมีเครือข่ายหน่วยงานในชุมชนที่ให้ความรู้และสนับสนุนการดูแลพระสงฆ์อาพาธ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ดูแลมีความรู้ความเข้าใจในการบริบาลที่ถูกต้องและเหมาะสมตามหลักพระธรรมวินัย และช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่เหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/jgrp/article/view/1883
กลยุทธ์การบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่
2025-04-28T14:44:50+07:00
วิทยากิจ หาญจิตต์
wittayakit_h@cmu.ac.th
ธารณ์ ทองงอก
wittayakit_h@cmu.ac.th
ยงยุทธ ยะบุญธง
wittayakit_h@cmu.ac.th
<p> บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ และ 2) เพื่อตรวจสอบกลยุทธ์การบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ซึ่งมีขั้นตอนการศึกษา 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 พัฒนากลยุทธ์การบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา รวมจำนวนทั้งหมด 113 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถามเพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (S-W-O-T) ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบกลยุทธ์การบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ผู้ทรงคุณวุฒิที่ใช้ในการตรวจสอบ จำนวนทั้งหมด 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของร่างกลยุทธ์การบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่</p> <p> ผลการศึกษาสรุปได้ว่า 1) การพัฒนาร่างกลยุทธ์การบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ เป็นดังนี้ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมนโยบายการส่งเสริมจิตสาธารณะผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ 10 วิธีดำเนินการ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 2 สนับสนุนพัฒนากิจกรรมการส่งเสริมจิตสาธารณะผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของนักเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ 15 วิธีดำเนินการ และประเด็นกลยุทธ์ที่ 3 ส่งเสริมการจัดกิจกรรมส่งเสริมจิตสาธารณะผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ประกอบด้วย 2 กลยุทธ์ 6 วิธีดำเนินการ และ 2) การตรวจสอบกลยุทธ์การบริหารกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อส่งเสริมจิตสาธารณะของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ เป็นดังนี้ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมนโยบายการส่งเสริมจิตสาธารณะผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ 10 วิธีดำเนินการ ผลการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด ประเด็นกลยุทธ์ที่ 2สนับสนุนพัฒนากิจกรรมการส่งเสริมจิตสาธารณะผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของนักเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ 15 วิธีดำเนินการ ผลการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด และประเด็นกลยุทธ์ที่ 3 ส่งเสริมการจัดกิจกรรมส่งเสริมจิตสาธารณะผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของนักเรียนโรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ ประกอบด้วย 2 กลยุทธ์ 6 วิธีดำเนินการ ผลการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-09-19T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ มจร วิทยาเขตแพร่