https://so13.tci-thaijo.org/index.php/j_EDU/issue/feed วารสารครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2025-07-02T13:28:38+07:00 ผศ.ดร.เทิดศักดิ์ สุพันดี chakkree.sr@cpru.ac.th Open Journal Systems <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">1. วารสารครุศาสตร์และการพัฒนามนุ</span></span><wbr /><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ Journal of Education and Human Development Chaiyaphum Rajabhat University</span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">2. ISSN อิเล็กทรอนิกส์: 3088-1714</span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">3. กำหนดการตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ ออกราย 6 เดือน คือ</span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> เล่ม 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน ของทุกปี และเ</span></span></span><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ล่ม 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม ของทุกปี</span></span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">4. วารสารครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ มีนโยบายในการส่งเสริม เผยแพร่ผลงานวิชาการ และงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ และเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการ โดยครอบคลุมด้านครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ การศึกษา ภาษา วรรณกรรม และสหวิทยาการ</span></span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><strong>โทรศัพท์ 044-815-111 ต่อ 6700</strong></span></span></span></p> https://so13.tci-thaijo.org/index.php/j_EDU/article/view/1754 ประเด็นศึกษาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ในการเรียนภาษาอังกฤษจากฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index): บทความปริทัศน์ 2025-05-04T11:51:34+07:00 มัทนาภรณ์ แสนศักดิ์ mattanaporn.s@msu.ac.th ศาสตรา มาพร sattra.ma@cpru.ac.th <p>การปรับใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในด้านการศึกษากำลังเป็นที่สนใจในระดับนานาชาติ งานบทความปริทัศน์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่าการใช้ปัญญาประดิษฐ์ได้บูรณาการเข้าสู่การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบริบทของประเทศไทยอย่างไร โดยเน้นการสำรวจพัฒนาการของผู้เรียนและครูผู้สอนหลังการใช้งาน บทความนี้ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากบทความวิจัยอย่างน้อย 10 ฉบับ ที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 2563 ถึง 2568 &nbsp;จากฐานข้อมูล TCI (Thai Journal Citation Index) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือ AI ในชั้นเรียนการเรียนภาษาอังกฤษ ผลการทบทวนวรรณกรรมชี้ให้เห็นว่า เครื่องมือ AI มีส่วนช่วยพัฒนาความคล่องแคล่วในการเรียนภาษาอังกฤษ ความคิดสร้างสรรค์ และความมีส่วนร่วมของผู้เรียนอย่างมีนัยสำคัญ โดย ปัญญาประดิษฐ์ ทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วย ที่ให้ข้อเสนอแนะแบบทันทีและสนับสนุนการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียนและครูส่วนใหญ่แสดงความพึงพอใจต่อการใช้งาน อย่างไรก็ตาม บทความยังพบว่ามีข้อถกเถียงบางประการเกี่ยวกับการใช้งานในบริบทการศึกษา ได้แก่ ความเสี่ยงด้านจริยธรรม และการทุจริตทางวิชาการ จากผลการศึกษานี้ สามารถตีความได้ว่า ปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่มีศักยภาพสูง แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการออกแบบและกำกับดูแลอย่างรอบคอบ เพื่อให้การสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ (EFL) เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนในอนาคต</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/j_EDU/article/view/2056 ภาพรวมของเทคนิคการสอนการเขียนภาษาอังกฤษในประเทศไทย 2025-05-15T22:23:36+07:00 ชิดชนก มีนาสันติรักษ์ chidchanok.gg@gmail.com ศาสตรา มาพร sattra.ma@cpru.ac.th <p>บทความปริทัศน์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนการเขียนภาษาอังกฤษในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2558–2568 โดยอ้างอิงข้อมูลจากบทความวิชาการและงานวิจัยจำนวน 16 เรื่องที่สืบค้นจากฐานข้อมูล TCI (ThaiJo) โดยใช้เกณฑ์การคัดเลือกบทความที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการเขียนของผู้เรียนชาวไทย ผลการวิเคราะห์พบว่า เทคนิคการสอนมีความหลากหลาย ทั้งในแง่ของวิธีการ ระดับชั้น และวัตถุประสงค์ของการพัฒนา โดยเทคนิคที่นิยม ได้แก่ เทคนิค CIRC, โฟนิกส์, ดิกโทกลอส, ผังกราฟฟิก และรูปแบบ B-SLIM เทคนิคการสอนสามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เน้นกลยุทธ์ทางความคิด (cognitive strategies) และกลุ่มที่เน้นการรู้คิดเชิงอภิปัญญา (metacognitive strategies) อีกทั้งยังพบว่าแนวทางการสอนส่วนใหญ่ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) ผ่านการมีส่วนร่วม การทำงานกลุ่ม การใช้สื่อ และกิจกรรมต่าง ๆ ข้อมูลจากการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาหลักสูตรหรือออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับระดับชั้นและบริบทของผู้เรียน อย่างไรก็ตาม งานศึกษานี้ยังมีข้อจำกัดด้านจำนวนงานวิจัยที่ใช้และขอบเขตของการวิเคราะห์ จึงเสนอแนะให้มีการศึกษาต่อยอดเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเทคนิคแต่ละประเภทในบริบทที่หลากหลายยิ่งขึ้นในอนาคต</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/j_EDU/article/view/1768 การจัดการเรียนรู้ตามหลักโยนิโสมนสิการในรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนาถ่อนพัฒนา ตำบลนาถ่อน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม 2025-05-05T09:12:54+07:00 พระครูสมุห์ธีรชัย ยศดีชัย theerachaiyotdeechai520615@gmail.com พระมหาประวิทย์ จิรวิชฺโช/ภูปุย prawitpra1313@gmail.com สอาด ภูนาสรณ์ saard24122@gmail.com มาวิน โทแก้ว marwin.tho@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามหลักโยนิโสมนสิการ และศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาพระพุทธศาสนาของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนาถ่อนพัฒนา ตำบลนาถ่อน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ก่อนเรียนและหลังเรียน ตามหลักโยนิโสมนสิการ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 28 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 50 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่า (T-test). ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนสามารถเรียนรู้ร่วมกันภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มอย่างมีเหตุผล ส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านการคิดวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ คิดถูกวิธี คิดในแนวทางที่เป็นกุศล เป็นประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม และนำวิธีการคิดที่ถูกต้องไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามหลักโยนิโสมนสิการมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/j_EDU/article/view/1651 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมไทยโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2025-04-28T20:36:18+07:00 ธีรพงษ์ คงบัว chakkree_2532@hotmail.com จักรี ศรีจารุเมธีญาณ chakkree_2532@hotmail.com <p><strong>การพัฒนาการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมไทย โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาสังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมไทย โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังได้รับการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 3. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังเรียนภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2567 จำนวน 14 คน โรงเรียนชุมชนบ้านบุ่งคล้าวิทยา อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 แผนแผนละ 2 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง 2. แบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิด 3 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ 4 3. แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อประสม เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Design) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติดังนี้ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเยี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สูตร t - test (Dependent Samples) ผลการวิจัยเรื่องการพัฒนาการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา หน่วยการเรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรมไทย โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังได้รับการเรียนรู้ ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยการเรียนรู้โดยโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) นักเรียนส่วนใหญ่พึงพอใจในการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค Student Teams Achievement Divisions (STAD) อยู่ในระดับมากที่สุด โดยความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านการวัดผลมีการกำหนดคะแนนอย่างเหมาะสม ได้ค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.88 รองลงมาได้ค่าเฉลี่ยเท่ากัน 3 รายการ คือ มีการใช้สื่อการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ มีวิธีสอนที่ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจและติดตาม และรูปแบบของข้อสอบเหมาะสมกับระดับนักเรียนที่ศึกษา ได้ค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.81 รองลงมา คือ ค่าเฉลี่ยเท่ากัน 2 รายการ คือ เนื้อหาที่เรียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และมีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ไว้อย่างเหมาะสม ได้ค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.75 รองลงมา ค่าเฉลี่ยเท่ากัน 3 รายการ คือ เนื้อหาที่เรียนเป็นเรื่องที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ และครูผู้สอนประเมินผลทุกครั้งโดยให้นักเรียนมีส่วนร่วม ได้ค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.69&nbsp; และอันดับสุดท้าย คือ ครูมีความเป็นกันเองกับนักเรียนขณะจัดกิจกรรม ได้ค่าเฉลี่ย (x ̅) เท่ากับ 4.63 ครั้งนี้พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครั้งนี้อยู่ในเกณฑ์ระดับพึงพอใจมากที่สุด (X ̅ = 4.75)</strong></p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/j_EDU/article/view/2035 พิธีฮดสรง : ประเพณีโบราณในการเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ภาคอีสาน 2025-05-21T14:52:51+07:00 พระณัฐวุฒิ พันทะลี pantalee200134go@gmail.com ภัทรขัย อุทาพันธ์ pantalee200134go@gmail.com นิวัฒนา วรรณคำ pantalee200134go@gmail.com คชา ประณีตพลกรัง pantalee200134go@gmail.com สุทธิพงษ์ สายาพัฒน์ pantalee200134go@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนจะนําเสนอองค์ความรู้พิธีฮดสรงประเพณีโบราณในการเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ภาคอีสาน พระสงฆ์ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทย โดยเฉพาะในภาคอีสานที่มีความศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญในด้านศีลธรรม การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และเป็นผู้นำจิตวิญญาณของชุมชนท้องถิ่น ชาวบ้านจึงเคารพนับถือพระสงฆ์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบและชาวบ้านตอบแทนด้วยการยกย่องผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ หนึ่งในพิธีสำคัญ คือ พิธีฮดสรงหรือพิธีเถราภิเษก ซึ่งมีรากฐานจากอิทธิพลของพุทธศาสนาจากอาณาจักรล้านช้างและมีความสำคัญทั้งทางจิตใจและความเชื่อของชาวบ้านเป็นการยกย่องพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งในสายการศึกษา การปฏิบัติ และการบริหาร ซึ่งพิธีฮดสรงมีเป้าหมายเพื่อถวายสมณศักดิ์หรือยกตำแหน่งให้แก่พระสงฆ์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม มีศีลาจารวัตรงดงาม มีความรู้ทางพระธรรมวินัย มีการสำเร็จการศึกษาพระบาลี แบ่งเป็น 3 ขั้น มนต์น้อย มนต์กลาง และมนต์ปลาย และการฮดสรงเป็นพิธีรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านจัดขึ้นเพื่อแสดงการยกย่องที่เชื่อว่าผู้เข้าร่วมพิธีจะได้รับอานิสงส์และความเป็นสิริมงคล ส่วนพระสงฆ์ที่ได้รับการฮดสรงจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ ได้แก่ ฮดสรงครั้งที่ 1 เรียกว่า “สําเร็จ” ฮดสรงครั้งที่ 2 เรียกว่า “ญาซา” ฮดสรงครั้งที่ 3 เรียกว่า “ญาคู” ฮดสรงครั้งที่ 4 เรียกว่า “ญาท่าน” และเป็นที่เคารพยิ่งขึ้นในชุมชน ถือเป็นพิธีกรรมที่หล่อหลอมทั้งพุทธศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นถิ่นเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง</p> 2025-07-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ