วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs <p>วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มีนโยบายในการส่งเสริม รวบรวมและเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัยและนวัตกรรมของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา คณาจารย์ บุคลากร นักวิชาการตลอดจนผู้สนใจทั้งภายในและภายนอกสำหรับการพัฒนาองค์ความรู้ให้กับชุมชนและสังคม โดยมุ่งเน้นการเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัยและนวัตกรรมทางด้านสังคมศาสตร์และด้านการศึกษา กำหนดการตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ ออกราย 4 เดือนคือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม) และ ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม) โดยรูปแบบผลงานที่วารสารจะรับพิจารณามี 2 ประเภทคือบทความวิชาการและบทความวิจัย ซึ่งจะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ(Peer Review) โดยมีผู้พิจารณา 3 คน ทั้งภายในและภายนอกสถาบัน จากหลากหลายสถาบัน เพื่อให้วารสารมีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล และนำไปอ้างอิงได้ ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องมีสาระ งานทบทวนความรู้เดิมและเสนอความรู้ ใหม่ที่ทันสมัยรวมทั้งข้อคิดเห็นที่เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ผลงานจะต้องไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ใน วารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆ</p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหาของบทความ</strong></p> <p>การบริหารการศึกษา วิทยาการจัดการเรียนรู้ การศึกษาปฐมวัย การประถมศึกษา หลักสูตรและการสอน วิทยาศาสตร์ศึกษา จิตวิทยาการศึกษา สังคมศึกษา การวิจัยและประเมินผลทางการศึกษา พลศึกษาและสุขศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา อุตสาหกรรมศึกษา การศึกษาพิเศษและสาขาวิชาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับด้านการศึกษา</p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่</strong></p> <p>ฉบับที่ 1 (มกราคม-เมษายน) <br />ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม)<br />ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม)</p> <p><strong>กระบวนการรีวิว</strong></p> <p>บทความวิชาการและบทความวิจัยที่จะนำมา ตีพิมพ์ในวานสารบัณฑิตศึกษา จะต้องได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ จากผู้ทรงคุณวุฒิ( Peer review) จำนวน 3 ท่าน ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับบทความนั้นๆ บทความที่นำมาตีพิมพ์ในแต่ละฉบับ ทั้งนี้กองบรรณาธิการจะดำเนินการตรวจสอบการคัดลอกบทความ (Plagiarism) เป็นขั้นตอนแรก แล้วจึงจัดให้มีกรรมการภายนอกร่วมกลั่นกรอง (Peer Review) และประเมินบทความตามเกณฑ์และแบบฟอร์มที่กำหนด ในลักษณะเป็น Double-blind peer review คือปกปิดรายชื่อทั้งผู้ประเมินและผู้เขียนบทความ โดยบทความงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องได้รับการประเมินความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 3 ท่าน</p> <p style="box-sizing: border-box; line-height: 1.785rem; margin: 1.43rem 0px; color: rgba(0, 0, 0, 0.87); font-family: 'Noto Serif', -apple-system, BlinkMacSystemFont, 'Segoe UI', Roboto, Oxygen-Sans, Ubuntu, Cantarell, 'Helvetica Neue', sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant-ligatures: normal; font-variant-caps: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; widows: 2; word-spacing: 0px; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; background-color: #ffffff; text-decoration-thickness: initial; text-decoration-style: initial; text-decoration-color: initial;"><strong style="box-sizing: border-box; font-weight: bolder;">ประเภทของบทควา</strong>ม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ<br style="box-sizing: border-box;" />รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p style="box-sizing: border-box; line-height: 1.785rem; margin: 1.43rem 0px; color: rgba(0, 0, 0, 0.87); font-family: 'Noto Serif', -apple-system, BlinkMacSystemFont, 'Segoe UI', Roboto, Oxygen-Sans, Ubuntu, Cantarell, 'Helvetica Neue', sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant-ligatures: normal; font-variant-caps: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; widows: 2; word-spacing: 0px; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; background-color: #ffffff; text-decoration-thickness: initial; text-decoration-style: initial; text-decoration-color: initial;"><strong style="box-sizing: border-box; font-weight: bolder;">เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ</strong><br style="box-sizing: border-box;" />บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p style="box-sizing: border-box; line-height: 1.785rem; margin: 1.43rem 0px 0px; color: rgba(0, 0, 0, 0.87); font-family: 'Noto Serif', -apple-system, BlinkMacSystemFont, 'Segoe UI', Roboto, Oxygen-Sans, Ubuntu, Cantarell, 'Helvetica Neue', sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant-ligatures: normal; font-variant-caps: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; text-align: start; text-indent: 0px; text-transform: none; widows: 2; word-spacing: 0px; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; background-color: #ffffff; text-decoration-thickness: initial; text-decoration-style: initial; text-decoration-color: initial;">ทั้งนี้ วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความเป็นไปตามประกาศมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ที่ 149/2568 เรื่อง กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความทางวิชาการ สำหรับวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ พ.ศ.2568<br /><br /><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">ทั้งนี้วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เฉพาะแบบปกติ และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์แบบเร่งด่วน (</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">Fast Track<span lang="TH">) อัตราค่าธรรมเนียม ดังนี้</span><br /><span lang="TH">- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ (ภาษาไทย) </span>3,500 <span lang="TH">บาท/ บทความ</span><br /><span lang="TH">- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ (ภาษาอังกฤษ) </span>4,500 <span lang="TH">บาท/ บทความ</span><br /><span lang="TH">ทั้งนี้ จะเรียกเก็บค่าตีพิมพ์บทความสำหรับบทความที่ส่งเข้าระบบ ตั้งแต่วันที่ </span>1 <span lang="TH">เดือน ธันวาคม </span>2568 <span lang="TH">เป็นต้นไป</span><br /><br /><strong><span lang="TH" style="font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">คำชี้แจง</span></strong><span lang="TH">ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา</span><br />1<span lang="TH">. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ </span>ThaiJo <span lang="TH">ประกอบด้วย</span><br />1<span lang="TH">.</span>1 <span lang="TH">บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ </span>Word <span lang="TH">จำนวน </span>1 <span lang="TH">ไฟล์</span><br />1<span lang="TH">.</span>2 <span lang="TH">แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน </span>1 <span lang="TH">ไฟล์</span><br /><span lang="TH">กรุณาดูคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์ (</span></span><a href="https://drive.google.com/file/d/1PyTpXgz02UXpLo1mUf0lkJfMqqizESKp/view" target="_blank" rel="noopener"><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">Click</span></a><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">)</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;"><br />2<span lang="TH">. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ</span><br />3<span lang="TH">. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น</span></span></p> <p style="background: white; margin: 11.25pt 0cm 11.25pt 0cm;"><strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</span></strong><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;"><br /><span lang="TH">ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (บกศ</span>2<span lang="TH">)</span><br /><span lang="TH">ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ประเภท เงินฝากออมทรัพย์</span><br /><span lang="TH">เลขที่บัญชี </span>644<span lang="TH">-</span>0<span lang="TH">-</span>30330<span lang="TH">-</span>0</span></p> <p style="background: white; margin: 11.25pt 0cm 11.25pt 0cm;"><strong><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">ทั้งนี้</span></strong><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;"> <span lang="TH">เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินที่อีเมล </span></span></p> <p style="background: white; margin: 11.25pt 0cm 11.25pt 0cm;"><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; color: black;">graduate_journal@srru<span lang="TH">.</span>ac<span lang="TH">.</span>th <span lang="TH">โดยระบุ </span>1<span lang="TH">) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ </span>2<span lang="TH">) ชื่อบทความ </span>3<span lang="TH">) สลิปการโอน</span><br /><br /><strong><span lang="TH" style="font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">หมายเหตุ:</span></strong> <span lang="TH">การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน </span>3 <span lang="TH">ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</span></span></p> <p> </p> th-TH graduate_journal@srru.ac.th (ดร.สุรเชษฐ์ วงศ์ชัยประทุม ) graduate_journal@srru.ac.th (นางณัฎฐ์นัน ทุนดี) Wed, 13 Aug 2025 08:53:21 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่ส่งผลต่อบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการปกครองท้องที่ยุคดิจิทัลพื้นที่ตำบล ท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2437 <p>ปัจจัยที่ส่งผลต่อบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการปกครองท้องที่ยุคดิจิทัล พื้นที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับบทบาทของกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ในการปกครองท้องทียุคดิจิทัลพื้นที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัย ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัลพื้นที่ตำบล ท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพของกำนันและ ผู้ใหญ่บ้านให้สามารถปรับตัวและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล พื้นที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอ เมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับประชาชนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 390 คน ได้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดย ใช้การคำนวณของ ทาโร ยามาเน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน จากประชากรจำนวน 14,355 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 10 คนได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล โดย การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ใช้เครื่องมือวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่าผลการวิเคราะห์ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อบทบาทของกำนันผู้ใหญ่บ้านในการปกครองท้องที่ ยุคดิจิทัล พื้นที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( = 4.37, S.D. = 0.577) ผลการวิเคราะห์ระดับความคิดเห็นต่อบทบาทของกำนันผู้ใหญ่บ้านในการปกครอง ท้องที่ยุคดิจิทัลพื้นที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมาก ( = 4.51, S.D. = 0.520) ซึ่งสามารถอธิบายความแปรปรวนของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทของ กำนันผู้ใหญ่บ้านในการปกครองท้องที่ยุคดิจิทัลพื้นที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โดย ภาพรวมทั้ง 4 ด้าน โดยเรียงลำดับการเข้าสู่สมการตามความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้ คือ ปัจจัยด้านความเป็นผู้นำ (X1) ปัจจัยด้านบทบาทและหน้าที่ (X2) ปัจจัยการสนับสนุนจากภาครัฐและชุมชน (X4) และตัวแปรสุดท้าย ที่เข้าสู่สมการที่ดีที่สุดของการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ได้แก่ปัจจัยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (X5) สามารถอธิบายตัวแปรตาม คือบทบาทของกำนันผู้ใหญ่บ้านในการปกครองท้องที่ยุคดิจิทัลของประชาชน ในพื้นที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ได้ร้อยละ 73.20 มีค่า R2 = .732 และค่า F เท่ากับ 262.501 มีค่า R2 Change เท่ากับ .732 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ผลการวิเคราะห์ ข้อเสนอแนะปัจจัยที่ส่งผลต่อบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในการปกครองท้องที่ยุคดิจิทัล พื้นที่ตำบล ท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พบว่าควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลออนไลน์ เรียนรู้การ ใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม ออนไลน์ต่างๆ ใช้ LINE, Facebook หรือแอปฯ เพื่อแจ้งข่าวสารและรับฟัง ปัญหาและติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ และปรับปรุงการทำงานอย่างต่อเนื่อง ควรเน้นการใช้แอปพลิเคชัน และเครื่องมือออนไลน์ ควรสื่อสารกับประชาชนผ่านช่องทางดิจิทัล</p> วีระชัย สินสิทธิ์, ผศ.ดร.วันชัย สุขตาม, ผศ.ดร.ศศิธร ศูนย์กลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2437 Mon, 17 Nov 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาจรณทักษะของผู้บริหารกับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2501 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับจรณทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจรณทักษะของผู้บริหารและการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี และ 4) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาจรณทักษะของผู้บริหารกับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จำนวน 1,831 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครู โรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี จำนวน 330 คน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) จรณทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.20 ±.60) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ทักษะการแก้ปัญหา (x̅ = 4.29 ±.52) ทักษะความเป็นผู้นำ (x̅ = 4.23 ±.51) ทักษะการสื่อสาร (x̅ = 4.20 ±.58) ทักษะด้านคุณธรรมจริยธรรม (x̅ = 4.15 ±.79) และ ทักษะการทำงานเป็นทีม (x̅ = 4.15 ±.58) 2) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.34 ±.65) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การวัดผลและประเมินผล (x̅ = 4.35 ±.65)การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ (x̅ = 4.35 ±.61) การนิเทศการศึกษา (x̅ = 4.33 ±.66) การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา (x̅ = 4.31 ±.67) 3) จรณทักษะของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับการบริหารงานวิชาการ ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แนวทางการพัฒนาจรณทักษะของผู้บริหารกับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี สรุปได้ 5 ด้าน ดังนี้ 1) การพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ 2) การพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม 3) การพัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหา 4) การพัฒนาทักษะการสื่อสาร และ 5) การพัฒนาทักษะด้านคุณธรรมจริยธรรม</p> เอกรัก ไชยสถาน, เบญจวรรณ ศรีมารุต, มีนมาส พรานป่า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2501 Wed, 22 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนากระบวนการจัดการหลักสูตรระยะสั้นสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2564 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนการจัดการหลักสูตรระยะสั้นสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และเพื่อสร้างนวัตกรรมกระบวนการจัดการหลักสูตรระยะสั้นเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ การดำเนินการวิจัย ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน คือ การวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามและการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p>สรุปผลการวิเคราะห์ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับด้านกระบวนการจัดการหลักสูตรระยะสั้นเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.00, S.D. = 0.863) โดยอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับความสำคัญค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ด้านการให้บริการสถานที่ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 4.17, S.D. = 1.003) รองลงมา คือ ด้านการสํารวจและวิเคราะห์ความจําเป็นในการจัดทำหลักสูตรระยะสั้น มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 4.10, S.D. = 0.650) ด้านการดำเนินการฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 4.08, S.D. = 0.985) ด้านการให้บริการและประชาสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 3.98, S.D. = 1.002) ด้านการวัดและประเมินผล มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 3.90, S.D. = 1.260) ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 3.90, S.D. = 1.260) ตามลำดับ และสุดท้าย คือ ด้านอัตราค่าลงทะเบียนเข้ารับการฝึกอบรม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 3.88, S.D. = 1.002)</p> <p>นวัตกรรมกระบวนการจัดการหลักสูตรระยะสั้นสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ มี 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) สำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย 2) วิเคราะห์ความต้องการหลักสูตรระยะสั้น 3) ออกแบบและพัฒนาหลักสูตรระยะสั้น 4) ประชาสัมพันธ์หลักสูตรระยะสั้น ในกรณีที่เป็นหลักสูตรระยะสั้นแบบไม่เข้าคลังหน่วยกิต ผู้เรียนที่ผ่านการประเมิน จะได้รับเกียรติบัตร/วุฒิบัตร และกรณีที่เป็นหลักสูตรระยะสั้นแบบเข้าคลังหน่วยกิต ผู้เรียนที่ผ่านการประเมินหลักสูตรระยะสั้น จะได้รับเกียรติบัตรและเมื่อเรียนครบตามโครงสร้างหลักสูตร จะสำเร็จการศึกษาได้ปริญญาบัตร</p> กนกกานต์ ลายสนธิ์, ศรัญญา นาเหนือ, สุนันสินี สีหะวงษ์, พิมพ์ลดา วิศิษฐ์กิตติกร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2564 Sat, 25 Oct 2025 00:00:00 +0700 คุณลักษณะของผู้นำท้องถิ่นในยุคปัจจุบันที่ประชาชนพึงประสงค์ในพื้นที่เทศบาลตำบล ทุ่งหลวง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2416 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะของผู้นำท้องถิ่นในยุคปัจจุบันที่ประชาชนพึงประสงค์ ในพื้นที่เทศบาลตำบลทุ่งหลวง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของผู้นำท้องถิ่นในยุคปัจจุบันที่ประชาชนพึงประสงค์ และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้นำท้องถิ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสม (Mixed Methods Research) ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ประชาชนอายุ 18–65 ปี ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตเทศบาลตำบลทุ่งหลวง จำนวน 381 คน และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 10 ราย ได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจงจากผู้บริหารท้องถิ่นและผู้นำชุมชนในพื้นที่</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของผู้นำที่ประชาชนพึงประสงค์อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากด้านคุณธรรมและจริยธรรม ด้านความกล้าคิดกล้าตัดสินใจ ด้านการสื่อสาร ด้านการทำงานบรรลุเป้าหมาย และด้านวิสัยทัศน์ 2) ภาวะผู้นำที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด โดยเน้นด้านการตั้งเป้าหมายและมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ รองลงมาคือ ความสามารถในการสื่อสาร ความรู้และทักษะ วิสัยทัศน์ และแรงบันดาลใจ 3) พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ระหว่างความคิดเห็นของประชาชนที่มีอายุและรายได้ต่างกัน 4) ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ ได้แก่ วิสัยทัศน์ ความรู้และทักษะ แรงบันดาลใจ และการตั้งเป้าหมายและมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ มีอิทธิพลต่อคุณลักษณะของผู้นำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 5) แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะภาวะผู้นำท้องถิ่นสามารถสรุปได้ 3 ด้าน คือ (1) ด้านภาวะผู้นำที่พึงประสงค์ ได้แก่ การเข้าถึงประชาชน รับฟังปัญหา และมีความกล้าหาญในการตัดสินใจ (2) ด้านคุณลักษณะของผู้นำ ได้แก่ ความสามารถในการบริหารจัดการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และ (3) ด้านปัจจัยภาวะผู้นำ ได้แก่ ความรู้ ความสามารถ ความรับผิดชอบ และปัจจัยภายนอก เช่น งบประมาณ บุคลากร และเทคโนโลยี</p> รัชมงคล เจริญผล, จิรายุ ทรัพย์สิน, ชัย สมรภูมิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2416 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหนังสือส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น เรื่อง สู่ขวัญข้าว กลุ่มชาติพันธุ์กูย - เขมร สุรินทร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2505 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทของชุมชนและองค์ความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมสู่ขวัญข้าวของกลุ่มชาติพันธุ์กูย - เขมร จังหวัดสุรินทร์ 2) พัฒนาและประเมินคุณภาพของหนังสือส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น เรื่อง “สู่ขวัญข้าว” สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 3) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้หนังสือ โดยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&amp;D) กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสะกาด จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 24 คน ที่ได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินคุณภาพหนังสือจากผู้เชี่ยวชาญ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) พิธีกรรมสู่ขวัญข้าวในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กูย - เขมร มีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การบูชาพระแม่โพสพ การเตรียมเครื่องบูชา การประกอบพิธีโดยผู้อาวุโส และการเฉลิมฉลองหลังพิธี สะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธา ภูมิปัญญาท้องถิ่น และบทบาทของพิธีกรรมในการเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในชุมชน 2) หนังสือที่พัฒนาขึ้นได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ย &nbsp;= 4.69) และผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 โดยได้ค่า = 81.66/84.66 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน = 12.87, หลังเรียน = 21.16) และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อหนังสือในระดับมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะด้านเนื้อหา รูปแบบการนำเสนอ และภาพประกอบ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า หนังสือที่พัฒนาขึ้นสามารถเป็นสื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในการบูรณาการองค์ความรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าสู่กระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่เน้นอัตลักษณ์ของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> <strong>(</strong><strong>Keywords) </strong>: วัฒนธรรมท้องถิ่น, สู่ขวัญข้าว, กลุ่มชาติพันธุ์กูย - เขมร, หนังสือส่งเสริมการเรียนรู้</p> นิรมล อยู่สบาย, ภัทระ อินทรกำแหง, พีรวัส อินทวี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2505 Fri, 28 Nov 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาลักษณะปรากฎและสมรรถภาพการเจริญเติบโตของไก่ลูกผสมพื้นเมืองสุรินทร์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2569 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ไก่พื้นเมืองสุรินทร์โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างไก่ตัวผู้พันธุ์พื้นเมืองสุรินทร์กับไก่ตัวเมียพันธุ์โร๊ดไอแลนด์แดง เพื่อศึกษาลักษณะภายนอก ประสิทธิภาพการเจริญเติบโต และการใช้อาหารของลูกไก่ที่ได้ ผลการศึกษาพบว่า ลูกไก่รุ่นแรกมีลักษณะเด่นทางกายภาพชัดเจน โดยสีแข้ง สีปาก และสีขนส่วนใหญ่เป็นสีเหลือง 81.11% ขณะที่สีเหลืองอ่อนพบ 18.89% เพศผู้มีหงอนตั้งและขนแหลมยาว ส่วนเพศเมียลำตัวเตี้ย ป้อม ขนสั้นและไม่มีหงอนเด่นชัด ด้านการเจริญเติบโต พบว่าน้ำหนักตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยจากแรกเกิดเฉลี่ย 31.3 กรัม เพิ่มเป็น 1,103.46 กรัม เมื่ออายุ 10 สัปดาห์ อัตราการเจริญเติบโตต่อวันในช่วงแรกเกิด–2 สัปดาห์อยู่ที่ 8.11–7.18 กรัม และเพิ่มขึ้นเป็น 16.42–15.29 กรัม ในช่วง 6–10 สัปดาห์ แสดงถึงศักยภาพในการเจริญเติบโตที่ดี ประสิทธิภาพการใช้อาหารพบว่า ปริมาณการกินอาหารเฉลี่ยเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยช่วง 0–2 สัปดาห์กินเฉลี่ย 23.79–21.32 กรัม/วัน และเพิ่มขึ้นเป็น 46.56–45.53 กรัมในช่วง 6–10 สัปดาห์ อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนักตัวเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.34–2.60 ซึ่งอยู่ในระดับเหมาะสมต่อการเลี้ยงเชิงเศรษฐกิจ อัตราการตายของไก่ลูกผสมอยู่ในระดับต่ำมาก เพียง 1.11% ตลอดช่วงการเลี้ยง แสดงถึงความแข็งแรงและความเหมาะสมในการเลี้ยงในสภาพแวดล้อมท้องถิ่น สรุปได้ว่า ไก่ลูกผสมที่ได้จากการวิจัยมีแนวโน้มดีในการพัฒนาเป็นสายพันธุ์ทางเลือกสำหรับเกษตรกร โดยให้ผลผลิตที่ดี ควบคู่กับความทนทานต่อสภาพแวดล้อม</p> ชัยนะรินทร์ ทับมะเริง, วรพรภัฏ ปัดภัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2569 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 จริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ กลุ่ม 1 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2422 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาและ 2) เปรียบเทียบจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ กลุ่ม 1 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำแนกตามเพศและประสบการณ์การทำงานของครู ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครู โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ กลุ่ม 1 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 211 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67–1.00 ซึ่งมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) จริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ กลุ่ม 1 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยภาพรวมและรายด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านความรับผิดชอบ ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้นำ ด้านความมีเหตุผล ด้านความยุติธรรม ด้านกัลยาณมิตร และด้านความซื่อสัตย์ และ 2) การเปรียบเทียบจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ กลุ่ม 1 สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษจำแนกตามเพศ และประสบการณ์<br>การทำงานของครู โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> อุไรรัตน์ บากอง, สาโรจน์ เผ่าวงศากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2422 Wed, 10 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารกับทักษะการบริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2424 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา &nbsp;2) การบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารกับทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 จำนวน 308 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์และทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการสร้างวัฒนธรรมด้านดิจิทัลในองค์กร ด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับบุคลากรในองค์กร ด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารองค์กร และด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อประเมินผลและพัฒนาองค์กร 2) ทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว ด้านภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ ด้านทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม ด้านการริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง และด้านการเป็นผู้สร้างหรือผลิตและรับผิดชอบเชื่อถือได้ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารกับทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับปานกลาง</p> สุธิดาพร แย้มศิลป์, สาโรจน์ เผ่าวงศากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2424 Wed, 22 Oct 2025 00:00:00 +0700 การสร้างกรอบแนวคิดในระบบการคัดเลือกเข้าศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ : อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษในยุคของการคัดเลือกโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2527 <p>ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาสากลสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์ โดยเฉพาะในด้านการเข้าถึงความรู้ใหม่ ๆ การสื่อสารระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ และการเผยแพร่ผลงานวิจัย ภาษาอังกฤษจึงเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักศึกษาแพทย์ในการเรียนรู้ วิเคราะห์ และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ในบริบทของประเทศไทยซึ่งภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาหลัก การพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษของผู้สมัครเข้าศึกษาแพทย์ยังเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางสังคมและโครงสร้าง ระบบการคัดเลือกนักศึกษาแพทย์โดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio-Based Admission) แม้จะเปิดโอกาสให้แสดงศักยภาพในด้านต่าง ๆ มากกว่าการสอบเดียว แต่การใช้คะแนนทดสอบความสามารถภาษาอังกฤษอย่าง TOEFL และ IELTS กลับกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สร้างความได้เปรียบให้กับผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและทรัพยากรมากกว่า ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการเข้าศึกษา การบูรณาการภาษาอังกฤษในหลักสูตรแพทย์ควรมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะเชิงวิเคราะห์และการสื่อสารในบริบททางคลินิกควบคู่กับการลดช่องว่างทางการศึกษาเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม การวิจัยชิ้นนี้มุ่งวิเคราะห์บทบาทของการทดสอบภาษาอังกฤษในระบบรับสมัครแพทย์ผ่านแฟ้มสะสมผลงานของไทย และเสนอแนวทางการพัฒนากรอบการคัดเลือกที่สมดุลระหว่างมาตรฐานวิชาชีพและความเป็นธรรมทางสังคม เพื่อสร้างระบบรับสมัครที่มีคุณภาพ โปร่งใส และเท่าเทียมในยุคโลกาภิวัตน์</p> พีระวรรตน์ อัครชัยภัค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2527 Thu, 11 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดฝึกทักษะรายวิชากระบวนการจัดทำบัญชี โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อพัฒนาสมรรถนะด้านการบันทึกบัญชีของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2511 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะรายวิชากระบวนการจัดทำบัญชีโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสมรรถนะด้านการบันทึกบัญชี โดยใช้ชุดฝึกทักษะ และ 3) ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดฝึกทักษะของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย จำนวน 28 คน&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) ชุดฝึกทักษะ (2) แบบทดสอบก่อน-หลังใช้ชุดฝึกทักษะ และ(3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test และค่า E1/E2</p> <p>ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ชุดฝึกทักษะ มีประสิทธิภาพ 81.03/80.70 ซึ่งสอดคล้องกับตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> <p>2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาการบัญชี หลังการใช้ชุดฝึกทักษะสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของชุดฝึกทักษะในการพัฒนาความรู้ทางวิชาชีพ และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ชุดฝึกทักษะโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 ซึ่งสะท้อนถึงการตอบรับเชิงบวกต่อการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว.</p> เยาวเรศ เวียงคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2511 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้แบบปรับตัวได้สำหรับผู้เรียนในยุค BANI https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2601 <p>บทความวิชาการฉบับนี้มุ่งนำเสนอแนวคิด ทฤษฎี และกรอบการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาที่สามารถประยุกต์ใช้ในการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ และเหมาะสมกับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในบริบทของโลกยุค BANI ซึ่งมีความเปราะบาง ไม่แน่นอน ซับซ้อน และยากต่อการเข้าใจ บทความได้นำเสนอแนวคิด งานวิจัยและพัฒนาทั้งระดับดั้งเดิมและแนวโน้มใหม่หลังยุคโควิด-19 รวมถึงกรอบแนวคิด นวัตกรรมการเรียนรู้แบบปรับตัวได้ที่ตอบสนองต่อความแตกต่างของผู้เรียน พร้อมทั้งวิเคราะห์งานวิจัยและกรณีศึกษาที่ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนาในการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ บทความยังเสนอแนวทางเชิงแนวคิดเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริง พร้อมข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ และประเด็นที่ควรศึกษาต่อยอด โดยเน้นการบูรณาการองค์ความรู้สหวิทยาการ เทคโนโลยี และบริบทการศึกษาที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งเชิงทฤษฎีและการใช้จริง</p> ประกิต ไชยธาดา, นิลรัตน์ นวกิจไพฑูรย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2601 Fri, 12 Dec 2025 00:00:00 +0700 การจัดตั้งบ่อนคาสิโน : บทวิเคราะห์เชิงจริยธรรมจากมุมมองอิสลาม https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2526 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเด็นการจัดตั้งบ่อนคาสิโนในประเทศไทยในเชิงจริยธรรมจากมุมมองของศาสนาอิสลาม โดยวิเคราะห์ผ่านหลักคำสอนทางศาสนา แนวคิดด้านจริยธรรมอิสลาม และบริบททางสังคมไทยร่วมสมัย ผลการวิเคราะห์พบว่า จากหลักฐานทางคัมภีร์อัลกุรอานและหะดีษ การพนันถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) อย่างชัดเจน และมีผลเสียทั้งทางจิตวิญญาณและสังคมอย่างรุนแรง การอนุญาตให้มีคาสิโนในประเทศอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และศีลธรรมของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสังคมมุสลิมที่มีกฎเกณฑ์ชัดเจนในการห้ามเล่นการพนันบทความนี้จึงเสนอว่าการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับคาสิโนควรคำนึงถึงจริยธรรมศาสนาและผลกระทบเชิงคุณค่าต่อสังคมในภาพรวม</p> Isamael Cheleng ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการบัณฑิตศึกษา https://so13.tci-thaijo.org/index.php/ajgs/article/view/2526 Wed, 10 Dec 2025 00:00:00 +0700