วารสาร ศรีวนาลัยวิจัย (Journal of Srivanalai Vijai) https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL <p><strong>ประกาศ</strong></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong></p> <p> 1.สำหรับบุคลากรในมหาวิทยาลัย บทความละ 3,000 บาท</p> <p> 2.สำหรับบุคลากรภายนอกมหาวิทยาลัย บทความละ 4,000 บาท</p> <p> ในการส่งบทความผู้เขียนจะต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามแบบฟอร์มของวารสารและคำแนะนำสำหรับผู้เขียน หากไม่ปฏิบัติตาม กองบรรณาธิการวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้</p> <ol> <li>หากบทความมีความซ้ำซ้อนมากกว่า 20% จากการตรวจสอบของ CopyCatch จาก thaijo</li> <li>ผู้เขียนไม่ปฏิบัติตามรูปแบบของวารสารที่กำหนด</li> <li>บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือ</li> <li>ผู้ส่งบทความไม่ดำเนินการแก้ไขบทความตามระยะเวลาที่กำหนด (ไม่เกิน 1 เดือนหลังจากได้รับแจ้ง)</li> </ol> <p>ผู้เขียนสามารถชำระค่าธรรมเนียมผ่านบัญชี ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี <br />เลขที่บัญชี 850-0-61485-4 เมื่อชำระแล้วให้ส่งหลักฐานแนบในระบบวารสาร และแนบส่งไฟล์หลักฐานไปที่ <a href="mailto:Journalres@ubru.ac.th">Journalres@ubru.ac.th</a></p> <p>ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป</p> th-TH journalres@ubru.ac.th (ผศ.ดร.พิมุกต์ สมชอบ) journalres@ubru.ac.th (นายศิริชัย บุตรแก้ว) Thu, 26 Jun 2025 23:12:29 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารโรงเรียนเป็นฐานกับองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2365 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของ 2) เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารโรงเรียนเป็นฐานกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 4) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางในการบริหารโรงเรียนเป็นฐานกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา ด้านการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานประกอบด้วย หลักการกระจายอำนาจ หลักการมีส่วนร่วม หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้แก่ประชาชน หลักการบริหารตนเองและหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล ด้านการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาประกอบด้วย การเป็นบุคคลที่รอบรู้ การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน โครงสร้างขององค์กร เทคโนโลยีสารสนเทศ และการใช้ทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา 40 คน ครู 282 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ .99 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">การศึกษาระดับการบริหารโรงเรียนเป็นฐานของสถานศึกษา เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม และรายด้าน ทั้ง 5 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li class="show">การศึกษาระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม และรายด้าน ทั้ง 5 ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li class="show">การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารโรงเรียนเป็นฐานกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม มีความสัมพันธ์กันเชิงบวก ในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01</li> <li class="show">ข้อเสนอแนะแนวทาง 1) ด้านการบริหารโรงเรียนเป็นฐาน ผู้บริหารควรมีการมอบหมายงานในการบริหารไปยังฝ่ายต่าง ๆ ตามภาระงานที่ได้รับมอบหมายอย่างชัดเจนในรูปแบบคำสั่ง คณะกรรมการสถานศึกษาจะต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ติดตามและรับทราบผลในการบริหารงานทั้ง 4 ฝ่าย 2) ด้านการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ผู้บริหารควรส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าและเป็นเป็นประโยชน์</li> </ol> อุรุพงศ์ เทศนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2365 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบนิเวศการคิดเชิงออกแบบเกมิฟิเคชันแบบสะตีมเสมือนจริงเพื่อส่งเสริมการเป็นนวัตกรสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2368 <p> การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบนิเวศการคิดเชิงออกแบบเกมิฟิเคชันแบบสะตีมเสมือนจริง<br />เพื่อส่งเสริมการเป็น นวัตกรสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) เพื่อประเมินผลงานนวัตกรรมสร้างสรรค์ของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้ระบบนิเวศการคิดเชิงออกแบบเกมิฟิเคชันแบบสะตีมเสมือนจริงเพื่อส่งเสริมการเป็นนวัตกรสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี 3) เพื่อประเมินทักษะนวัตกรรมสร้างสรรค์ของนักศึกษาที่เรียนโดยใช้ระบบนิเวศการคิดเชิงออกแบบเกมิฟิเคชันแบบสะตีมเสมือนจริงเพื่อส่งเสริมการเป็นนวัตกรสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี โดยการวิจัยนี้แบ่งนักศึกษาออกเป็นสองกลุ่มโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) ได้แก่ กลุ่มทดลองที่ใช้ระบบนิเวศเสมือนจริง และกลุ่มควบคุมที่ใช้วิธีการเรียนรู้แบบปกติ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า นักศึกษากลุ่มทดลองมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มทดลองได้รับการประเมินในระดับที่ดีมากในการสร้างผลงานนวัตกรรมโดยมีค่าเฉลี่ย (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) = 4.50 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) = 0.47 ผลการประเมินทักษะนวัตกรรมของนักศึกษาที่เรียนด้วยระบบนิเวศการคิดเชิงออกแบบเกมิฟิเคชันสะตีมเสมือนจริงเพื่อส่งเสริมนวัตกรสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ในภาพรวมพบว่าทักษะนวัตกรรมอยู่ในระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ยรวม (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) = 2.70 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) = 0.44 และผลการประเมินคุณลักษณะนวัตกรของนักศึกษาที่เรียนด้วยระบบนิเวศการคิดเชิงออกแบบเกมิฟิเคชันสะตีมเสมือนจริงเพื่อส่งเสริมนวัตกรสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ในภาพรวมพบว่ามีคุณลักษณะนวัตกรอยู่ในระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ยรวม (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />) = 2.57 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) = 0.47</p> กฤษฎาภรณ์ จันตะคุณ, ธิติ จันตะคุณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2368 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาสมรรถภาพทางกายของนักเรียนที่สอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาพลศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2370 <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับสมรรถภาพทางกายของนักเรียนที่เข้าสอบคัดเลือกเข้าศึกษา<br>ต่อสาขาวิชาพลศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชายและหญิงที่สมัครสอบเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จำนวนทั้งสิ้น 168 คน แบ่งเป็นชาย 114 คน และหญิง 54 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง วิธีดำเนินการวิจัย โดยนักเรียนผู้เข้ารับการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ประกอบด้วย การทดสอบการนั่งงอตัวไปด้านหน้า การทดสอบการดันพื้น 30 วินาที การทดสอบการ ลุกนั่ง 30 วินาที และการทดสอบการวิ่งระยะไกล 1,000 เมตร สำหรับนักเรียนชาย และ 800 เมตร สำหรับนักเรียนหญิง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการแปลงค่าผลการทดสอบ ผลการวิจัย พบว่านักเรียนทั้งชาย และหญิงมีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ เหมาะสม และเหมาะสม การนั่งงอตัวไปด้านหน้า อยู่ในเกณฑ์ พอใช้และดี การดันพื้น 30 วินาที อยู่ในเกณฑ์ ดีมาก และดี การลุกนั่ง 30 วินาที อยู่ในเกณฑ์ ดี และดีการวิ่งระยะไกลอยู่ในเกณฑ์ ดีมาก และดีมาก ตามลำดับ</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;</strong>สรุปผลการวิจัยนี้ การศึกษาสมรรถภาพทางกายของนักเรียนที่สมัครสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสาขาพลศึกษา แสดงให้เห็นว่านักเรียนชาย และหญิงมีสมรรถภาพทางกายอยู่ในระดับดีถึงดีมากในหลายองค์ประกอบ เช่น ความอดทนของระบบหัวใจและหลอดเลือด และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นการสะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายให้เหมาะสมสำหรับการเรียนในสาขาวิชาพลศึกษา และการฝึกทักษะกีฬาต่าง ๆ</p> ดิศพล บุปผาชาติ, อรรณพ นับถือตรง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2370 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารร่วมกับทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ต่อภาวะน้ำหนักเกินของบุคลากรในโรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2371 <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารร่วมกับทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ต่อภาวะน้ำหนักเกินของบุคลากรในโรงพยาบาลวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ภายในและระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ เป็นการศึกษาเชิงกึ่งทดลองในบุคลากรโรงพยาบาลวารินชำราบและบุคลากรโรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ์ จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน จำนวน 86 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 43 คน และกลุ่มควบคุม 43 คน เป็นกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการควบคุมน้ำหนักตัวต่อรูปแบบการบริโภคอาหาร กิจกรรมทางกายและน้ำหนักตัวของบุคลากรในโรงพยาบาลที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ระยะเวลาในการวิจัย 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติอนุมานใช้ Paired t-test และ Independent t-test</p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีระดับคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้น ทั้งค่าคะแนนความรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ทัศนคติเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร การปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร การปฏิบัติตัวเกี่ยวกับกิจกรรมทางกาย และข้อมูลเกี่ยวกับเกี่ยวกับภาวะน้ำหนักเกิน สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและระดับ 0.05 สรุปได้โปรแกรมการควบคุมน้ำหนักตัวต่อรูปแบบการบริโภคอาหาร กิจกรรมทางกายและน้ำหนักตัวของบุคลากรในโรงพยาบาลที่มีภาวะน้ำหนักเกิน และการกระตุ้นเตือนจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บุคลากรในโรงพยาบาลที่มีน้ำหนักเกินมีความรู้และทราบถึงอันตรายจากการบริโภคอาหารการรับรู้โอกาสเสี่ยงของการ</p> <p>เกิดโรคจากภาวะน้ำหนักเกินการรับรู้ความสามารถของตนเองในการควบคุมน้ำหนักตัว การบริโภคอาหาร กิจกรรมทางกายทำให้บุคลากรมีสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งนี้ยังมีส่วนทำให้ลดบุคลากรที่มีภาวะน้ำหนักเกินรายใหม่ได้อีกด้วย</p> วิชุดา หัสโน, กุลชญา ลอยหา, เด่นดวงดี ศรีสุระ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2371 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนเอกชน อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยการสอนสืบเสาะแบบ 5E ร่วมกับสถานการณ์จำลอง https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2372 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแยกสารผสม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 2 โดยการสอนสืบเสาะแบบ 5E ร่วมกับสถานการณ์จำลองตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการสอนสืบเสาะแบบ 5E ร่วมกับสถานการณ์จำลอง 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการสอนสืบเสาะแบบ 5E ร่วมกับสถานการณ์จำลอง และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยการสอนสืบเสาะแบบ 5E ร่วมกับสถานการณ์จำลอง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเซนต์เอเมลี จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน มีค่าความเหมาะสม เฉลี่ย 4.65 อยู่ในระดับมากที่สุด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.89 3) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 30 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.92 และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแยกสารผสม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 2 โดยการสอนสืบเสาะแบบ 5E ร่วมกับสถานการณ์จำลอง มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.88/87.44 <br>2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 <br>3. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ณัฐวุฒิ จันทกาญจน์, ระพิน ชูชื่น, จิรวัฒน์ ตั้งวันเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2372 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดต่อความภักดีของผู้บริโภคที่ใช้บริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพในจังหวัดอุบลราชธานี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2373 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาลักษณะประชากรและพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคที่ใช้บริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพในจังหวัดอุบลราชธานี 2. ศึกษาอิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดต่อความภักดีของผู้บริโภค<br>ที่ใช้บริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพในจังหวัดอุบลราชธานีกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภค 400&nbsp; คน ที่เคยใช้บริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพ โดยสุ่มแบบเป็นระบบ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แบบสอบถาม สถิติเชิงพรรณนา ที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ลักษณะประชากรที่ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง สถานภาพโสด อายุอยู่ในช่วง 41-50 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ และมีรายได้ในช่วง 30,001-40,000 บาทต่อเดือน 2) กลยุทธ์การตลาดที่มีอิทธิพลต่อการใช้บริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในจังหวัดอุบลราชธานี ตัวแปรสำคัญ 5 ด้านที่ส่งผลต่อความภักดี &nbsp;ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านราคา ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบุคลากรและด้านกระบวนการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถทำนายความภักดีในการใช้บริการร้านอาหารเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในจังหวัดอุบลราชธานี ได้ร้อยละ 53.4 และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ 0.74 (R = 0.74) ผลการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อส่งเสริม ความภักดีของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิจัยยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น</p> อรทัย ปริต, นรีนุช ยุวดีนิเวศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2373 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของการสื่อสารบนโซเชียลมีเดียและผู้มีอิทธิพลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อกล่องสุ่มประเภทอาร์ตทอยของกลุ่ม Generation Z ในประเทศไทย https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2374 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อเพื่อศึกษา อิทธิพลของการสื่อสารบนโซเชียลมีเดียและผู้มีอิทธิพลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อกล่องสุ่มประเภทอาร์ตทอยของกลุ่ม Generation Z ในประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วย 1) อิทธิพลของการสื่อสารแบบปากต่อปาก 2) อิทธิพลของค่านิยมทางสังคม 3) อิทธิพลของการสื่อสารสินค้าบนโซเชียลมีเดีย 4) อิทธิพลของความดึงดูดใจ 5) อิทธิพลของความไว้วางใจ 6) อิทธิพลของความเชี่ยวชาญ และ 7) อิทธิพลของความเหมือนกับกลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ กลุ่มประชากร Generation Z ในประเทศไทย ซึ่งกำหนดช่วงอายุของกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเป็นผู้ที่มีอายุ ตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป และเกิดระหว่างปี พ.ศ. 2540–2548 โดยเป็นกลุ่มที่มี ความคุ้นเคยกับการใช้สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดียเป็นอย่างดี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ได้รับ การคัดเลือกโดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) คือ เลือกเฉพาะผู้ที่เคยมีประสบการณ์ใน<br>การตัดสินใจซื้อกล่องสุ่มประเภทอาร์ตทอย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งสถิติที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบไปด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน คือ การวิเคราะห์การถดถอย ด้วยวิธี Enter สำหรับการทดสอบสมมติฐานสามารถสรุปได้ว่าปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด คือปัจจัยด้านความเหมือนกับกลุ่มเป้าหมาย รองลงมาคือ ปัจจัยด้านการสื่อสารสินค้าบนโซเชียลมีเดีย ปัจจัยด้านความเชี่ยวชาญ ปัจจัยด้านการสื่อสารแบบปากต่อปาก ตามลำดับ แต่ปัจจัยด้านความไว้วางใจ ปัจจัยด้านค่านิยมทางสังคม และปัจจัยด้านความดึงดูดใจ เป็นตัวแปรที่ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อกล่องสุ่มประเภทอาร์ตทอยของผู้บริโภคกลุ่ม Generation Z ในประเทศไทย รายละเอียดของเหตุผลในแต่ละประเด็นจะได้รับการวิเคราะห์และอธิบายเพิ่มเติมในส่วนของการอภิปรายผลการวิจัย ซึ่งงานวิจัยฉบับนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจกล่องสุ่มประเภทอาร์ตทอย สามารถนำผลจากการศึกษาไปปรับใช้พัฒนารูปแบบการสื่อสารการตลาดให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการสร้างความแตกต่างทางธุรกิจเพื่อที่จะสามารถสร้างมูลค่าจากธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น</p> ชนชล นพการุณ, ชนิกานต์ โฉมศิริ, ธิดารัตน์ คำโสมา, สุภัสสรา ศิริพงษ์, ทัชชกร สัมมะสุต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2374 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกด โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับเกมการศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2375 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับเกมการศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านคำในมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้และ 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนเซนต์เอเมลี จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 35 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 12 แผน มีค่าความเหมาะสมเฉลี่ย 4.63 อยู่ในระดับมากที่สุด 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านคำในมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 20 ข้อ มีค่าความยากง่าย &nbsp;ระหว่าง 0.27-0.47 ค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.25-0.55 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.80 และ 3) แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 20 ข้อ มีค่าความยากง่าย &nbsp;ระหว่าง 0.27-0.53 ค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.30-0.65 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.83 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับเกมการศึกษา เท่ากับ 81.07/84.21 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2. ทักษะการอ่านคำในมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับเกมการศึกษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3. ทักษะการเขียนสะกดคำในมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับเกมการศึกษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> วรนิษฐา ศิลารักษ์, ระพิน ชูชื่น, จิรวัฒน์ ตั้งวันเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2375 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 กรอบแนวคิดการจัดการความขัดแย้งในยุคดิจิทัล: ปัจจัยเชิงสาเหตุ ปัจจัยแทรกและผลลัพธ์ต่อประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2376 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากรอบแนวคิดการจัดการความขัดแย้งในยุคดิจิทัลที่ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม โดยใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมจากวารสารวิชาการนานาชาติ กรอบแนวคิดที่นำเสนอประกอบด้วย 1) ปัจจัยเชิงสาเหตุ ความสามารถในการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีส่งผลต่อการจัดการความขัดแย้งในยุคดิจิทัล 2) ปัจจัยแทรก การสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นตัวแปรแทรกระหว่างความสามารถในการเรียนรู้ทางเทคโนโลยีกับการจัดการความขัดแย้งฯ และจิตวิญญาณการทำงานเป็นทีมเป็นตัวแปรแทรกระหว่างการจัดการความขัดแย้งฯ กับประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม 3) ผลลัพธ์ ประสิทธิภาพในการทำงานเป็นทีมซึ่งเป็นผลมาจากการจัดการความขัดแย้งฯ กรอบแนวคิดนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาเชิงประจักษ์ในอนาคต และเป็นแนวทางให้องค์กรประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการจัดการความขัดแย้งในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สร้างเสริมประสิทธิภาพทีมให้เกิดประโยชน์สูงสุด</p> ศานสันต์ รักแต่งาม, นงลักษณ์ โพธิ์ไพจิตร, ปวีณา สปิลเลอร์, วิโรจน์ เจษฎาลักษณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2376 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 กลวิธีในการแปลกริยาซ้อนจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2377 <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การแปลที่ใช้โดยกลุ่มตัวอย่างในการแปลคำกริยาคู่ (Serial Verb Constructions หรือ SVCs) จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จำนวน 20 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ก่อนที่จะเริ่มงานแปล กลุ่มตัวอย่างทุกกลุ่มจะได้รับการฝึกอบรมการแปลคำกริยาคู่โดยอิงตามคำกริยาคู่ 8 ประเภทที่แตกต่างกัน จำนวน 6 ชั่วโมง ได้แก่ 1) การเคลื่อนไหว 2) การวางท่าทาง 3) เริ่มต้นด้วย "รับ" 4) เริ่มต้นด้วย "ใช้" 5) กลุ่มเปิด 6) เริ่มต้นด้วย "ให้" 7) เริ่มต้นด้วย "ทำ" และ 8) SVC ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ เครื่องมือวิจัย คือ แบบทดสอบการแปลเชิงอัตนัย 40 ข้อ ซึ่งเน้นที่คำกริยาคู่ เครื่องมือนี้แสดงให้เห็นถึงความเที่ยงตรงของเนื้อหาในระดับสูง และมีค่าดัชนีความสอดคล้องที่ 0.94 ซึ่งได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ 3 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวข้องกับการใช้เปอร์เซ็นต์ คะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t แบบพึ่งพา</p> <p>ผลวิจัยจำแนกออกเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ในการฝึกอบรม และกลยุทธ์การแปล</p> <ol> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ในการแปลดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังจากการฝึกอบรม คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 6.1 ก่อนการฝึกอบรมเป็น 12.85 หลังการฝึกอบรม (ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05)</li> <li class="show">กลยุทธ์การแปล: พบกลยุทธ์การแปลที่แตกต่างกันทั้งหมด 15 กลยุทธ์ กลยุทธ์ที่ใช้บ่อยที่สุดห้าประการ ได้แก่: การละคำ (27.15%) มักใช้กับประโยคแสดงการเคลื่อนไหว (35 ครั้ง) การเติมคำบุพบท “to” เพื่อเชื่อมกริยา (24.55%) มักใช้กับประโยคแสดงท่าทางที่ขึ้นต้นด้วย “use” (40 ครั้ง) การแปลตามตัวอักษร (14.97%) มักใช้กับประโยคแสดงท่าทางที่ขึ้นต้นด้วย “give” (32 ครั้ง) การเติมคำเชื่อม “and” เพื่อเชื่อมกริยา (7.98%) สังเกตได้มากที่สุดกับประโยคแสดงท่าทางที่นต้นด้วย “posture” (18 ครั้ง) และการปรับโครงสร้างประโยคโดยดัดแปลงคำนามหรือ วลีคำนาม (4.99%) ซึ่งพบมากที่สุดใน SVC ที่เกิดขึ้น (14 ครั้ง) กลยุทธ์ที่ใช้น้อยที่สุดคือการปรับประโยคกริยารูปประธานให้เป็นกริยารูปกรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (0.20%)</li> </ol> จุฑามณี ทิพราช, นิติรัตน์ อุทธชาติ, ศุทธินี พลหาญ, ชญาณ์นันท์ ปิติกรพวงเพชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2377 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวนโยบายการส่งเสริมการใช้ที่นั่งนิรภัยที่ได้รับอนุญาตสำหรับทารกเพื่อยกระดับความปลอดภัย และคุณภาพการบริการบนเที่ยวบินพาณิชย์ในประเทศไทย https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2378 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การใช้ที่นั่งนิรภัยที่ได้รับอนุญาตถือเป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารทารก ซึ่งนิยามตามองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization, 2015) ว่าหมายถึงผู้โดยสารที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยทั่วไปสายการบินอนุญาตให้ทารกนั่งตักผู้ปกครองตลอดการเดินทาง&nbsp; แม้ว่าเด็กในช่วงวัยตั้งแต่ 7–9 เดือนขึ้นไปจะสามารถนั่งเองได้แล้วตามพัฒนาการ (โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์, 2566) แต่การนั่งโดยใช้เข็มขัดนิรภัยที่ติดตั้งมากับที่นั่งผู้โดยสารทั่วไปอาจยังไม่เหมาะสมกับขนาดลำตัวของทารก ดังนั้นการขาดอุปกรณ์นิรภัยที่เหมาะสมก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และยังลดความสะดวกสบายของผู้ปกครองจากการโอบรัดทารกไว้ตลอดเวลาระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะในเที่ยวบินระยะไกล บทความนี้เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร โดยทบทวนวรรณกรรม กฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบิน และแนวปฏิบัติของสายการบินพาณิชย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวนโยบายส่งเสริมการใช้ที่นั่งนิรภัยที่ได้รับอนุญาตสำหรับทารกในการเดินทางโดยเครื่องบิน &nbsp;ผลจากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า สามารถลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของทารก และช่วยยกระดับความมั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยของสายการบิน บทความนี้เสนอแนะให้หน่วยงานด้านการบินและสายการบินตระหนักถึงความสำคัญของอุปกรณ์นิรภัยดังกล่าว และพิจารณาเพิ่มบริการนี้เป็นบริการมาตรฐานสำหรับผู้โดยสารทารกในทุกเที่ยวบิน</p> นิศา นุ่มวงษ์, วินิตา หงส์วรพิพัฒน์, ศรัญญู เลิสนุวัติวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2378 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าในตลาดโต้รุ่งเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2379 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการและการตัดสินใจซื้อสินค้าในตลาดโต้รุ่งเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าในตลาดโต้รุ่ง และเพื่อเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อสินค้าในตลาดโต้รุ่งจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพรายได้ต่อเดือน และอาชีพผลการวิจัย พบว่า จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 385 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 21 – 26 ปี มีระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น/ตอนปลาย/เทียบเท่า มีสถานภาพส่วนใหญ่โสด มีรายได้ต่อเดือนส่วนใหญ่มีรายได้ 15,001-25,000 บาท และส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน สำหรับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือด้านบุคลากร มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย กระบวนการ อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านราคา ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านลักษณะทางกายภาพอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยการตัดสินใจซื้อด้านการรับรู้ปัญหา การแสวงหาข้อมูล การประเมินทางเลือก การตัดสินใจซื้อ และพฤติกรรมหลังการซื้อ ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ พบว่า ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และกระบวนการสามารถร่วมกันพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้ร้อยละ 60 ผลศึกษาการเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อสินค้าในตลาดโต้รุ่งจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพรายได้ต่อเดือนและอาชีพที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อแตกต่างกัน</p> ทิฆัมพร ศรียงยศ, มาลิณี ศรีไมตรี, ปิยกนิฏฐ์ โชติวนิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2379 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 Survey on Students’ Satisfaction with the Quality of Scientific Research Activities at Quang Nam University https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2380 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;Surveying the satisfaction of stakeholders to improve the quality of university activities is a content that needs to be carried out periodically every year. However, Quang Nam University has never conducted an in-depth survey on the satisfaction of students with scientific research activities at the university. This study aims to identify factors affecting the satisfaction and quality of scientific research activities of students, thereby proposing appropriate improvement solutions. The study was conducted on 770 students from first to fourth year at Quang Nam University through a questionnaire consisting of 28 questions in 6 fields. The survey data was processed using SPSS 20.0 software to assess the reliability of the questionnaire through Cronbach's Alpha coefficient, find the hidden factor structure through EFA factor analysis and identify factors affecting satisfaction through multiple linear regression analysis. The research results show that research environment and lecturer support are the two factors that have the strongest impact on student satisfaction.</p> Hoa Vo, Thuong Dinh ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2380 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการเลือกใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่น อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2381 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการเลือกใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่น อำเภอเมือง <br>จังหวัดอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นต่อการรับรู้คุณค่าและคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อ ความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของลูกค้าในการเลือกใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่น 2) ศึกษาอิทธิพลของการรับรู้คุณค่าและคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของลูกค้าในการเลือกใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่น งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัย เชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง 397 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างประชากรโดยไม่ใช้ความน่าจะเป็น พิจารณาเลือกกลุ่มตัวอย่างที่เคยใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี อย่างน้อย 1 ครั้ง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ช่วงอายุ 21-30 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพนักเรียน/นักศึกษา มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ความคิดเห็นต่อการรับรู้คุณค่าที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของลูกค้าในการเลือกใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่นมากที่สุดคือ คุณค่าด้านความปลอดภัย (Safety Value) และระดับความคิดเห็นต่อคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของลูกค้าในการเลือกใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่นมากที่สุดคือ ความเป็นรูปธรรมของการบริการ (Tangibility) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยด้านการรับรู้คุณค่า และปัจจัยด้านคุณภาพการบริการ มีตัวแปรที่ส่งผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรม ในการเลือกใช้บริการร้านอาหารญี่ปุ่น ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยแต่ละปัจจัยจะมีตัวแปรอิสระที่ให้ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> เกษราภรณ์ เกษทอง, เกียรติพงษ์ เบ้าทอง, เบญจมาศ ยืนยง , บุรินทร์ ศิริเนตร์, มณีกาญจน เขียวรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2381 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนารูปแบบการแสดงหมอลำวิถีใหม่เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอีสาน https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2382 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัย เรื่อง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนารูปแบบการแสดงหมอลำวิถีใหม่เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอีสาน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและภาคสนาม เพื่อศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบของการแสดงหมอลำ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนารูปแบบการแสดงหมอลำวิถีใหม่ให้ได้แนวทางในการพัฒนารูปแบบการแสดงหมอลำเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอีสาน เก็บข้อมูลโดยการสำรวจ การสังเกต การสัมภาษณ์ จากกลุ่มผู้รู้ กลุ่มผู้ปฏิบัติ&nbsp;&nbsp; และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลทั่วไป ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li class="show">องค์ประกอบของการแสดงหมอลำซิ่งคณะแพรวพราว แสงทอง และหมอลำหมู่คณะใจเกินร้อย ได้แก่ ด้านนักแสดง ด้านนักดนตรี ด้านหางเครื่อง ด้านการแต่งกาย ด้านเวที แสง สี เสียง ด้านการออกแบบการแสดง ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และด้านการบริหารจัดการ ซึ่งทั้ง 2 คณะ มีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกันไปตามรูปแบบของการจัดการแสดงหมอลำ</li> <li class="show">มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลระบบ Streaming ให้ผู้ชมได้รับชมการแสดงผ่านระบบออนไลน์ ตลอดจน มีการประยุกต์ใช้สื่อโซเซียลมีเดียและเทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนารูปแบบการแสดงและทำการตลาด เช่น Facebook, YouTube, Twitter, Instagram, Line, TikTok เป็นต้น อีกทั้ง ยังใช้เทคโนโลยี The Concert Application ในการจำหน่ายบัตร จองบัตร จองที่นั่ง ตรวจสอบข้อมูล และการประชาสัมพันธ์ เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนารูปแบบการแสดงหมอลำวิถีใหม่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</li> <li class="show">มีแนวทางในการพัฒนารูปแบบการแสดงหมอลำ โดยใช้แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงของประเทศเกาหลีใต้เป็นต้นแบบ ตลอดจน มีการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสารที่หลากหลายช่องทางเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ฟังได้อย่างรวดเร็วและทันสมัย พร้อมทั้งผลักดันให้หมอลำเป็น Soft Power ที่สำคัญของประเทศ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอีสาน</li> </ol> ดิฐพงษ์ อุเทศธำรง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2382 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้แนวคิดแบบเน้นกระบวนการเฮวินส์ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หน่วยการเรียนรู้ The Plants สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2384 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ The Plants สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามแนวคิดของเฮวินส์ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80&nbsp; 2) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนแบบเน้นกระบวนการ หน่วยการเรียนรู้&nbsp; The Plants ตามแนวคิดของเฮวินส์ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการ หน่วยการเรียนรู้ The Plants ตามแนวคิดของเฮวินส์ ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยกึ่งเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียว กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 1 นครพนม อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ห้อง 4/1 จำนวน 32 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ด้วยวิธีการจับสลาก โดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้จัดเก็บข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ สำหรับจัดการเรียนรู้กับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3 แผน แบบประเมินความสามารถการเขียนภาษาอังกฤษ จำนวน 1 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วย t-test แบบ Dependent Samples</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการเขียนภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ The Plants ตามแนวคิดของเฮวินส์ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 80.31/80.15 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2) นักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของเฮวินส์ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีความสามารถในด้านการเขียนภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน <br>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด<br>ของเฮวินส์ร่วมกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีความพึงพอใจในระดับมาก</p> ธรณินทร์ ชูประยูร, วัชรี แซงบุญเรือง, สุภาวดี กาญจนเกต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2384 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบผสมผสานเครือข่ายเอกชนสัตตบงกช จังหวัดอุบลราชธานี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2386 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาภาษาไทย โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนอนุบาลอรุณจิตร อำเภอเดชอุดม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.66 / 84.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้&nbsp; 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05&nbsp; 3. ทักษะการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05&nbsp; 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> อัครฤทธิ์ ทองกาย, ระพิน ชูชื่น, พรทิพย์ ศิริบูรณ์พิพัฒนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2386 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะปฏิบัติ เรื่องนาฏศิลป์ไทย ตามรูปแบบการสอนของเดวีส์ร่วมกับแอปพลิเคชัน TikTok สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2387 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการปฏิบัตินาฏศิลป์ไทย ตามรูปแบบการสอนของเดวีส์ร่วมกับแอปพลิเคชัน TikTok สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ร้อยละ 80 2) เปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะการปฏิบัติ เรื่องนาฏศิลป์ ก่อนเรียนและหลังเรียน ตามรูปแบบการสอนของเดวีส์ร่วมกับแอปพลิเคชัน TikTok สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนทักษะปฏิบัติ เรื่องนาฏศิลป์ไทย ตามรูปแบบการสอนของเดวีส์ร่วมกับแอปพลิเคชัน TikTok สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยกึ่งเชิงการทดลอง กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา ๑ นครพนม อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ห้อง 4/1 จำนวน 32 คน ตามลำดับ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ด้วยวิธีการจับสลากโดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน แบบประเมินทักษะปฏิบัติ แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วย t-test แบบ Dependent Samples &nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาทักษะปฏิบัติ เรื่องนาฏศิลป์ไทย ตามรูปแบบการสอนของเดวีส์ ร่วมกับแอปพลิเคชัน TikTok สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 อยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 83.20 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 80 2) เปรียบเทียบการพัฒนาทักษะปฏิบัติ เรื่องนาฏศิลป์ไทย ตามรูปแบบการสอนของเดวีส์ ร่วมกับแอปพลิเคชัน TikTok สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนการพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์ เรื่องนาฏศิลป์ไทย ตามรูปแบบการสอนของเดวีส์ร่วมกับแอปพลิเคชัน TikTok อยู่ในระดับมาก&nbsp;</p> จิรัชญา สิวกระโทก, วัชรี แซงบุญเรือง, สุภาวดี กาญจนเกต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2387 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตของผู้บริโภคในจังหวัดอุบลราชธานี https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2388 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการและกระบวนการตัดสินใจซื้อในธุรกิจการค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตของผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี 2) ศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อในธุรกิจการค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตของผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี และ 3) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับกระบวนการตัดสินใจซื้อในธุรกิจการค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตของผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคที่ซื้อในธุรกิจการค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ การทดสอบค่า t และ F ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการธุรกิจค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาเก็ตในจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า อยู่ในระดับมากเรียงตามลำดับ ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านบุคคล ด้านกระบวนการ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านราคา และด้านส่งเสริมการตลาด ส่วนกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ พบว่า อยู่ในระดับมากเรียงตามลำดับ ได้แก่ ด้านการรับรู้ปัญหา ด้านพฤติกรรมหลังการซื้อ ด้านการประเมินทางเลือก ด้านการแสวงหาข้อมูล และด้านการตัดสินใจซื้อ 2) ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณของส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ พบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) ระหว่าง 0.486-0.699 เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 โดยปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ 3 ตัวที่สามารถร่วมกันพยากรณ์ความสัมพันธ์ต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อได้ ร้อยละ 45.5 ได้แก่ ด้านบุคคล ด้านกระบวนการ และด้านลักษณะทางกายภาพ 3) ผลการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อในธุรกิจการค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตของผู้บริโภคจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือนแตกต่างกันมีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการแตกต่างกัน แต่ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุแตกต่างกันมีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อไม่แตกต่างกัน จากผลการวิจัยนี้ ผู้ประกอบการร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าและบริการสามารถใช้เป็นแนวทางกลยุทธ์ทางการตลาดในสถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูงได้</p> จิราวรรณ ไพรจิตร, ศุภกัญญา เกษมสุข, มาลิณี ศรีไมตรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2388 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 การแสดงพื้นเมืองอีสานสร้างสรรค์ ชุด ตุ้มโฮมอวยพร https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2389 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การแสดงพื้นเมืองอีสานสร้างสรรค์ ชุด ตุ้มโฮมอวยพร มีวัตถุประสงค์การศึกษา คือ 1) ศึกษาแนวคิดและลักษณะท่าฟ้อนแม่บทอีสาน 2) เพื่อสร้างสรรค์การแสดงในรูปแบบของการรำพื้นเมืองภาคอีสาน โดยมีขอบเขตในการศึกษาลักษณะท่าฟ้อนแม่บทอีสานของนางฉวีวรรณ พันธุ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ประจำปีพุทธศักราช 2536 ผู้วิจัยมีวิธีดำเนินการศึกษา ได้แก่ 1) ศึกษาจากเอกสาร งานวิจัย และการสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตชาวอีสาน ศิลปะการฟ้อนพื้นบ้านอีสาน รวมถึงแนวคิดและทฤษฎีในการสร้างสรรค์งานนาฏศิลป์ 2) การเข้าร่วมสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมในการปฏิบัติท่าฟ้อนแม่บทอีสาน และ 3) การนำผลการศึกษามาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสู่กระบวนการสร้างสรรค์การแสดง ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li class="show">ฟ้อนแม่บทอีสาน ที่ใช้เป็นแบบแผนในการฝึกหัดการฟ้อนพื้นบ้านอีสานให้เกิดเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีจำนวน 48 ท่า โดยมีแนวคิดท่าฟ้อน 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) ท่าฟ้อนที่เลียนแบบกิริยาอาการสัตว์ 2) ท่าฟ้อนที่เลียนแบบลักษณะท่าทาง และการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติกับวิถีชีวิต และ 3) ท่าฟ้อนจากแนวคิดวรรณกรรมท้องถิ่น</li> <li class="show">การสร้างสรรค์การแสดงในรูปแบบพื้นเมืองอีสาน มีลำดับการทำงาน 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นตอนเตรียม การแสดงโดยกำหนดชื่อชุดการแสดงด้วยการนำภาษากลาง และภาษาอีสานมาผสมเข้าด้วยกันในชื่อว่า ตุ้มโฮมอวยพร โดยแบ่งการแสดงออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 การรวมตัวของกลุ่มชาวอีสาน ช่วงที่ 2 การปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย ช่วงที่ 3 การขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 2) ขั้นตอนการออกแบบการแสดง นำบทผญามาแต่งเป็นกลอนลำอวยพรเข้ากับทำนองเพลงลายตุ้มโฮมที่ได้ประพันธ์ขึ้นใหม่ และทำการคัดเลือกผู้แสดง 9 คนตามเกณฑ์รวมถึงออกแบบการแต่งกายโดยห่มผ้าพันคีงพาดไหล่ด้วยผ้าขิดและนุ่งผ้าซิ่นห้อยชายพกด้วยผ้าซิ่นตีนแดง เกล้ามวยผมทัดดอกรวงผึ้งและปักปิ่นพร้อมกับใส่เครื่องประดับเงิน จากนั้นได้สร้างสรรค์กระบวนท่ารำและการแปรแถว โดยมีแนวคิดการออกแบบท่ารำ 5 ลักษณะ ได้แก่ การใช้เอกลักษณ์ของท่าฟ้อนพื้นบ้านอีสาน การใช้ท่าฟ้อนแม่บทอีสาน การนำท่าแม่บทอีสานมาประยุกต์ การใช้ภาษาท่า และการนำแนวคิดจากการฟ้อนเดินขบวนในงานประเพณีอีสานมาใช้ในการเชื่อมท่ารำ นอกจากนี้ได้นำทฤษฎีทัศนศิลป์มาใช้ออกแบบแถวพื้นฐานทางนาฏศิลป์ไทย การแปรแถวแบบตั้งซุ้ม และการแปรแถวหลายรูปแบบในแถวเดียวกัน โดยใช้การเคลื่อนไหวในลักษณะเส้นตรงแนวตั้ง แนวเฉียง เส้นโค้งวงกว้าง วงกลมและเส้นแบบซิกแซก เพื่อให้เกิดความสวยงาม 3) ขั้นตอนการจัดสนทนากลุ่มโดยผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินคุณภาพผลงาน และ 4) การเผยแพร่การแสดงพื้นเมืองอีสานสร้างสรรค์ ชุด ตุ้มโฮมอวยพร</li> </ol> ขวัญฟ้า ภู่แพ่งสุทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/2389 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700