https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/issue/feed
วารสาร ศรีวนาลัยวิจัย (Journal of Srivanalai Vijai)
2024-07-12T15:27:06+07:00
ผศ.ดร.ปริญญา มูลสิน
journalres@ubru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารศรีวนาลัยวิจัย ได้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานของคณาจารย์ นักวิจัยและบุคลากรทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้สู่ผู้เกี่ยวข้องได้นำไปใช้ประโยชน์ โดยเปิดรับบทความทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีกำหนดออกปีละ 2 ครั้ง คือ ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม ของทุกปี</p> <p><strong>ประกาศ</strong></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong></p> <p> 1.สำหรับบุคลากรในมหาวิทยาลัย บทความละ 2,000 บาท</p> <p> 2.สำหรับบุคลากรภายนอกมหาวิทยาลัย บทความละ 3,000 บาท</p> <p> ในการส่งบทความผู้เขียนจะต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามแบบฟอร์มของวารสารและคำแนะนำสำหรับผู้เขียน หากไม่ปฏิบัติตาม กองบรรณาธิการวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้</p> <ol> <li>หากบทความมีความซ้ำซ้อนมากกว่า 20% จากการตรวจสอบของ CopyCatch จาก thaijo</li> <li>ผู้เขียนไม่ปฏิบัติตามรูปแบบของวารสารที่กำหนด</li> <li>บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้พิจารณาบทความ หรือ</li> <li>ผู้ส่งบทความไม่ดำเนินการแก้ไขบทความตามระยะเวลาที่กำหนด (ไม่เกิน 1 เดือนหลังจากได้รับแจ้ง)</li> </ol> <p> ผู้เขียนสามารถชำระค่าธรรมเนียมผ่านบัญชี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เลขที่บัญชี 441-1-30591-9 เมื่อชำระแล้วให้ส่งหลักฐานแนบในระบบวารสาร และแนบส่งไฟล์หลักฐานไปที่ <a href="mailto:Journalres@ubru.ac.th">Journalres@ubru.ac.th</a></p> <p>ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป</p>
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/844
ความรู้ และทัศนคติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวให้ครบ 6 เดือน
2024-06-30T21:49:30+07:00
สุภาวดี นนทพจน์
supawadee.n@ubru.ac.th
อนุวัฒน์ วัฒนพิชญากุล
supawadee.n@ubru.ac.th
น้องเล็ก คุณวราดิศัย
supawadee.n@ubru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เพื่อศึกษาความรู้ และทัศนคติการเลี้ยง ลูกด้วยนมแม่ให้ครบ 6 เดือน กลุ่มตัวอย่างคือ มารดาหลังคลอดที่มีบุตรอายุ 1-12 เดือน ในพื้นที่เขตบริการสุขภาพ ที่ 10 จำนวน 514 คน คำนวณขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตร Yamane Taro Yamene สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stag Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือเท่ากับ 0.91 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปเพื่อหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า มารดาหลังคลอดมีอายุเฉลี่ย 29 ปี ส่วนใหญ่ร้อยละ 83.46 มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 35.60 มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. ร้อยละ 22.71 มีอาชีพรับจ้างทั่วไป มีระยะเวลาในการทำ อาชีพเฉลี่ย 5.59 ปี ร้อยละ 56.42 มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ร้อยละ 73.54 เป็นครอบครัวขยาย (พ่อ แม่/ลูก/ ปู่ย่า/ตายาย/ญาติ) ร้อยละ 58.95 มีสิทธิการรักษาพยาบาลส่วนใหญ่เป็นบัตรทอง จำนวนบุตรโดยเฉลี่ย 1.59 คน ร้อยละ 76.26 มีน้ำนมเพียงพอต่อการเลี้ยงลูก ในด้านระดับความรู้ส่วนใหญ่ร้อยละ 99.81 มีความรู้อยู่ในระดับสูง และมีทัศนคติอยู่ในระดับมาก ( X =4.47, S.D.=0.26) ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อกำหนด แนวทางหรือหารูปแบบในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ควรมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนใน การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวให้ครบ 6 เดือน ทั้งการให้ข้อมูล การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ ประโยชน์ของนมแม่อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ และมีการขยายผลไปยังคนในครอบครัว ชุมชน ตลอดจนกลุ่มนายจ้างและผู้ประกอบการต่าง ๆ ให้มีการรับรู้ประโยชน์ของนมแม่ร่วมกัน อันจะนำไปสู่การปฏิบัติตน อย่างถูกต้องและเลี้ยงดูบุตรด้วยนมแม่อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/845
คุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์การของบุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ในพื้นที่สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ที่ 4
2024-06-30T22:06:59+07:00
ศิริเรียม พิมประจิตร
siririem.pg65@ubru.ac.th
ปิยกนิฎฐ์ โชติวนิช
siririem.pg65@ubru.ac.th
อโณทัย หาระสาร
siririem.pg65@ubru.ac.th
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพชีวิต สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อความ ผูกพันต่อองค์การของบุคลากร และเพื่อเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิต สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อความ ผูกพันองค์การของบุคลากร จำแนกตามประชากรศาสตร์ โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรในพื้นที่สำนักงานตรวจบัญชี สหกรณ์ที่ 4 และ 5 จำนวน 242 คน ใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยสถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ การทดสอบ F-test และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบเป็น ขั้นตอน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงาน ด้านค่าตอบแทน ด้านสิทธิส่วนบุคคล และด้านลักษณะงาน ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์การของบุคลากร และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สภาพแวดล้อมทางด้านจิตใจ และด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม เป็นปัจจัยที่ส่งผล ต่อความผูกพันองค์การของบุคลากร โดยตัวแปรทั้ง 6 ตัวแปร สามารถร่วมกันพยากรณ์ความผูกพันต่อองค์การของ บุคลากรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ในพื้นที่สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ที่ 4 และ 5 ได้ร้อยละ 68 (R 2 Adj = 0.68) เปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิต สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันองค์การของบุคลากรกรมตรวจ บัญชีสหกรณ์ในพื้นที่สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ที่ 4 และ 5 จำแนกตามประชากรศาสตร์ พบว่า บุคลากรที่มีอายุ ระดับการศึกษา ระยะเวลาการปฏิบัติงาน รายได้ต่อเดือน และตำแหน่งงานต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/846
การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสลากออมทรัพย์ธอส. ลูกค้าในเขตสกลนคร
2024-06-30T22:19:58+07:00
แจ่มใส โสภิตชา
jamsaisopitcha@gmail.com
ปราณี เอี่ยมลออภักดี
jamsaisopitcha@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสลากออมทรัพย์ธอส. ลูกค้าในเขต สกลนคร ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ลูกค้าที่มีการฝากเงินกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในพื้นที่ 6 สาขา ประกอบด้วย 1) สาขาสกลนคร 2) สาขากาฬสินธุ์ 3) สาขานครพนม 4) สาขามุกดาหาร 5) สาขาบึงกาฬ และ 6) สาขาสว่างแดนดิน โดยมีกลุ่มตัวอย่าง 400 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เริ่มจากการแบ่ง ขนาดตัวอย่างที่เป็นสัดส่วน ตามสัดส่วนจำนวนประชากรทั้ง 6 สาขา และเก็บแบบเป็นระบบ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าเฉลี่ย และการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีจำนวนมากที่สุดเป็นเพศหญิง มีสถานภาพโสด มีอายุ 41- 50 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพเป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 45,000 บาท ขึ้น ไป ลูกค้ามีเงินฝากมากที่สุด คือ ประเภทออมทรัพย์ มูลค่าประมาณการที่ท่านฝากเงินกับธอส. มากที่สุด คือ ต่ำกว่า 100,000 บาท สินเชื่อประเภทใดกับธอส. มากที่สุด คือ สินเชื่อลูกค้าทั่วไป ซื้อ/สนใจสลากออมทรัพย์ธอส.มากที่สุด คือ อื่น ๆ เหตุผลที่ท่านตัดสินใจซื้อสลากออมทรัพย์ธอส.มากที่สุด คือรางวัลที่ได้รับจากฉลาก มูลค่าประมาณการที่ ท่านซื้อ สลากออมทรัพย์ ธอส.มากที่สุด คือ 1,000 -10,000 บาท ความถี่ในการซื้อ สลากออมทรัพย์ ธอส.มากที่สุด คือ 1 ครั้ง/ปี ช่องทางการที่ท่านให้ความสนใจในการซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส.มากที่สุด คือ Mobile Application บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส.ที่สุด คือ ตนเอง และ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ สลากออมทรัพย์ธอส. ลูกค้าในเขตสกลนคร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ถดทอยเชิงพหุคุณ เท่ากับ เท่ากับ .84 และตัวแปรพยากรณ์ 6 ตัวแปร ประกอบด้วย 1) รางวัล 2) การรักษาลูกค้า 3) การสร้างความผูกพันธ์กับลูกค้า 4) ความภักดีต่อตราสินค้า 5) ราคาสลากออมทรัพย์ และ 6) การตระหนักถึงตราสินค้า อย่างมีระดับนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับนัยสำคัญ .01</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/847
การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ เรื่อง การสังเคราะห์ ด้วยแสง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษา ในรายวิชาชีววิทยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
2024-06-30T22:29:52+07:00
กฤษฎา สีจันดี
kritsadarumsaeng0991319115@gmail.com
วรรณภา โคตรพันธ์
kritsadarumsaeng0991319115@gmail.com
สาวิตรี เถาว์โท
kritsadarumsaeng0991319115@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้การจัดการเรียรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษา ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวารินชำราบ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 28 คน ที่ได้มา โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกม การศึกษา 2) แบบวัดทักษะการทดลองทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบสอบถามความพึงพอของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับ เกมการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับเกมการศึกษา พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน เท่ากับ 9.21 และ 19.18 และเมื่อเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการเป็นรายทักษะ พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ยรวม เท่ากับ 7.57 และ 15.61 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ 19.61 และ 33.39 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดย ใช้เกม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.70 โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/848
ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพคล่องทางการเงินกับความสามารถในการทำกำไร ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
2024-06-30T22:39:24+07:00
วาสนา อาจสาริกิจ
Malaidoodee@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 2) เพื่อศึกษาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสภาพคล่องทางการเงินกับความสามารถในการทำกำไรของ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จำนวน 10 บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลแบบทุติยภูมิที่ได้จากรายงานทาง การเงินประจำปี พ.ศ. 2560 – 2564 ได้ข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์ 50 รายปีบริษัท ใช้สูตรเครื่องมือทางการเงิน สถิติเชิง พรรณนาและทดสอบสมมติฐานการศึกษา โดยวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1. สภาพคล่องทางการเงิน ได้แก่ อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน อัตราส่วนเงินทุน หมุนเวียนเร็ว อัตราส่วนหมุนเวียนของลูกหนี้ ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย อัตราส่วนหมุนเวียนของสินค้า ระยะเวลา ขายสินค้าเฉลี่ย อัตราส่วนหมุนเวียนของเจ้าหนี้ และระยะเวลาชำระหนี้เฉลี่ย มีค่าเฉลี่ย 3.01, 1.58, 6.96, 76.95, 2.84, 182.95, 4.81 และ 107.46 ตามลำดับ 2. ความสามารถในการทำกำไร ได้แก่ อัตราส่วนกำไรสุทธิ อัตรา ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ มีค่าเฉลี่ย 5.03, 5.35 และ 4.99 ตามลำดับ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพคล่องทางการเงินกับความสามารถในการทำกำไร เป็นดังนี้ 3.1 อัตราส่วนหมุนเวียน ของสินค้า อัตราส่วนหมุนเวียนของลูกหนี้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ออัตรากำไรสุทธิ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 และ .05 และอัตราส่วนหมุนเวียนของเจ้าหนี้มีความสัมพันธ์เชิงลบต่ออัตราส่วนกำไรสุทธิ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ ที่ .01 3.2 อัตราส่วนหมุนเวียนของสินค้า อัตราส่วนหมุนเวียนของลูกหนี้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ออัตรา ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 และอัตราส่วนหมุนเวียนของเจ้าหนี้มีความสัมพันธ์ เชิงลบกับอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 3.3 อัตราส่วนหมุนเวียนของ เจ้าหนี้มีความสัมพันธ์เชิงลบต่ออัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/849
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านจิตวิทยาในการซื้อบัตรโดยสารผ่านออนไลน์และ กลยุทธ์การตลาด 4Es ของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
2024-06-30T22:47:01+07:00
กฤษณ์ วิทวัสสำราญกุล
krit.wit@kbu.ac.th
ธิติพร มิลินทร์ คริสเตนเซน
krit.wit@kbu.ac.th
สุพิชญา วงศ์วาสนา
krit.wit@kbu.ac.th
เนตร์ศิริ เรืองอริยภักดิ์
krit.wit@kbu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมการซื้อบัตรโดยสารผ่าน ระบบออนไลน์ของผู้โดยสารสายการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2) การใช้กลยุทธ์การตลาด 4Es และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านจิตวิทยาในการซื้อบัตรโดยสารผ่านออนไลน์ และกลยุทธ์การตลาด 4Es ของ ผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การศึกษาครั้งนี้ใช้เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก จำนวน 401 ชุด สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยจิตวิทยาในการซื้อบัตรโดยสารผ่านออนไลน์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการ จูงใจได้คะแนนเฉลี่ยมากที่สุดที่ระดับมาก และด้านการรับรู้ได้คะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุดที่ระดับมาก 2) พฤติกรรมการ ซื้อบัตรโดยสารผ่านระบบออนไลน์มีคะแนนเฉลี่ยรวมในระดับมาก 3) ความคิดเห็นต่อการใช้กลยุทธ์การตลาด 4Es โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านคุณค่าราคามีผู้โดยสารให้คะแนนเฉลี่ยมากที่สุด และด้านการตอบสนองในทุกที่ 4) ผล การทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันทุกด้านมีความเห็นต่อการใช้กลยุทธ์การตลาด 4Es ไม่ แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 5) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านจิตวิทยาในการซื้อบัตรโดยสาร ออนไลน์และการใช้กลยุทธ์การตลาด 4Es ของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (r = 0.48) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/850
แรงจูงใจและความพึงพอใจที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยว กรณีศึกษา การท่องเที่ยวเทศกาลและงานมหกรรมเมืองพัทยา
2024-06-30T22:58:27+07:00
นรินทร พลนำ
immyresmk@hotmail.com
สุชัญญา เสถียรอินทร์
immyresmk@hotmail.com
จิรัฐสกุล ปงจันตา
immyresmk@hotmail.com
วริศรา กาญจนศรี
immyresmk@hotmail.com
ทัชชกร สัมมะสุต
immyresmk@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวกรณีศึกษาการ ท่องเที่ยวเทศกาลและงานมหกรรมเมืองพัทยาโดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวที่เคยมาท่อง เที่ยวงานเทศกาลและมหกรรมเมืองพัทยา จำนวน 400 คน ผ่านวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง จากนั้นนำข้อมูลมา วิเคราะห์ผ่านสถิติเชิงพรรณนา โดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ในการวิเคราะห์ 2 ตัวแปร One-Way Anova (F-test) และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ จากผลการศึกษา พบว่า นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับแรงจูงใจ ความพึงพอใจและการท่องเที่ยวซ้ำอยู่ในระดับมาก X= 4.02 โดย แรงจูงใจด้านปัจจัยดึงดูดส่งผลต่อการท่องเที่ยวซ้ำมากที่สุดและจากการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลต่อการ ท่องเที่ยวซ้ำ พบว่า เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ภูมิลำเนา ที่แตกต่างกันส่งผลต่อการท่องเที่ยวซ้ำไม่ต่างกันแรงจูงใจ และความพึงพอใจส่งผลต่อการท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวกรณีศึกษาการท่องเที่ยวเทศกาลและงาน มหกรรม เมืองพัทยา อย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05</p>
2024-07-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/851
เลือดขัตติยา: การสร้างสรรค์แนวคิดและองค์ประกอบการแสดงละคร ตามแนวทางละครหลวงวิจิตร
2024-06-30T23:13:51+07:00
ฤดีชนก คชเสนี
dum.daitor@gmail.com
จินตนา สายทองคำ
dum.daitor@gmail.com
ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์
dum.daitor@gmail.com
<p>บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.เพื่อสร้างแนวคิดการแสดงละครเรื่องขัตติยาตามแนวทางละครหลวง วิจิตร 2.เพื่อสร้างองค์ประกอบการแสดงละครเรื่องเลือดขัตติยาตามแนวทางละครหลวงวิจิตร ดำเนินการวิจัยด้วย การศึกษาข้อมูลพื้นฐานและกำหนดแนวความคิดจากเอกสารทางวิชาการ หนังสือ ตำรา รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับละครหลวงวิจิตร ทั้งนี้ดำเนินการสัมภาษณ์ทายาทหลวงวิจิตรวาทการ ศิลปินแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญและ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านนาฏศิลป์ดนตรีและเครื่องแต่งกาย ตลอดจนกลุ่มผู้มีประสบการณ์การแสดงละครหลวงวิจิตร วาทการ จากนั้นรวบรวมข้อมูลที่ได้ศึกษาสู่การวิเคราะห์ สังเคราะห์เพื่อสร้างแนวคิดและรูปแบบการแสดงละคร เรื่องขัตติยาตามแนวทางละครหลวงวิจิตร ผลการวิจัยพบว่า 1.การสร้างแนวคิด ประกอบด้วย 1) แนวทางการแสดงละครปลุกใจรักชาติของหลวง วิจิตรวาทการ2) บูรณาการศาสตร์การแสดงละครรูปแบบต่าง ๆ คือ ละครพูด ละครร้อง ละครพันทาง 3) ใช้วง ดนตรีไทยและวงดนตรีสากลประกอบการแสดง 4) เนื้อเรื่องการแสดงจากวรรณกรรมประเภทนวนิยายของ ลักษณวดี เรื่อง เลือดขัตติยา ที่มีเรื่องราวความรักของหญิงชายจบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่พระเอกนางเอกเลือกที่จะ เสียสละความรักเพื่อประเทศชาติ คล้ายคลึงกับละครเรื่องเจ้าหญิงแสนหวี ของหลวงวิจิตรวาทการ ที่ปลูกฝังหน้าที่ ของทุกคนที่ต้องมีความจงรักภักดีต่อผู้ปกครองประเทศ มีความสามัคคีปรองดองกันในชาติ เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อประเทศชาติ 2.การสร้างองค์ประกอบการแสดงละครเรื่องเลือดขัตติยาตามแนวทางละครหลวงวิจิตร ประกอบด้วย 1) การสร้างสรรค์บทละคร 2) การสร้างสรรค์ดนตรีประกอบการแสดง 3) การคัดเลือกผู้แสดง 4) การออกแบบลีลา นาฏศิลป์ 5) การออกแบบเครื่องแต่งกาย 6) การออกแบบอุปกรณ์ประกอบการแสดง 7) การออกแบบพื้นที่เวทีและ ฉากในการแสดง 8) การออกแบบแสง เสียง และมัลติมีเดีย การสร้างสรรค์แสดงในครั้งนี้สามารถพัฒนาต่อยอด การ ปลูกฝังคุณธรรมด้านความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยเสริมแต่งความร่วมสมัยเพื่อสืบสานแนวทางละคร หลวงวิจิตรให้กลับมากระตุ้นความรักชาติของคนไทยในยุคปัจจุบัน</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/852
การสร้างสรรค์แนวคิดและองค์ประกอบการแสดงละครร่วมสมัย เรื่องนิ้วสุดท้าย
2024-06-30T23:22:10+07:00
ฤทธิเทพ เถาว์หิรัญ
Pariyaorn@hotmail.com
จุลชาติ อรัณยะนาค
Pariyaorn@hotmail.com
สุรัตน์ จงดา
Pariyaorn@hotmail.com
<p>บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อสร้างแนวคิดการแสดงละครร่วมสมัย เรื่อง นิ้วสุดท้าย 2) เพื่อสร้างสรรค์องค์ประกอบการแสดงละครร่วมสมัย เรื่อง นิ้วสุดท้าย ด้วยวิธีการศึกษาข้อมูลทางวิชาการ การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ เพื่อนำข้อมูลสู่การสร้างสรรค์ละครร่วมสมัย เรื่อง นิ้วสุดท้าย ผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างแนวคิดการแสดงละครร่วมสมัยเรื่อง นิ้วสุดท้าย เป็นการสร้างสรรค์ ศิลปะการแสดงจากหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา “กาลามสูตร” โดยเนื้อเรื่องส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการเชื่อโดย ไม่ไตร่ตรองหาเหตุผล ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับชีวิตในสังคมปัจจุบันที่มีการใช้ เทคโนโลยีในการสื่อสารอย่างแพร่หลายจนเกิดเป็นปัญหาที่มีการหลอกลวงกันด้วยข่าวปลอม (fake news)การ สร้างสรรค์ครั้งนี้มุ่งเน้นให้ละครเรื่องนี้สามารถนำไปใช้ในการสะท้อนให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงผลเสียของการเชื่อ ข่าวลวงหรือข่าวเท็จโดยขาดวิจารณญาณ นอกจากนั้นยังเป็นการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนาในรูปของสื่อ บันเทิง โดยผู้ชมจะได้รับสุนทรียศาสตร์ไปพร้อมกับความสนุกเพลิดเพลินเหมาะสำหรับจัดแสดงให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัยได้รับชม 2) การสร้างสรรค์องค์ประกอบการแสดงละครร่วมสมัย เรื่อง นิ้วสุดท้าย มีลักษณะดังนี้ 1. ดำเนินเรื่องด้วย รูปแบบการแสดงละครร่วมสมัย 2. ใช้บทละครคำกลอนและการเจรจาแบบร้อยแก้ว 3. ทำนองเพลง ดนตรี ประกอบการแสดงรูปแบบผสมผสานระหว่างดนตรีไทยและดนตรีสากล4. ผู้แสดงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การแสดงที่ดี และสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้อย่างเหมาะสม 5. ออกแบบลีลาผสมผสานระหว่างนาฏศิลป์ไทยและ นาฏศิลป์ร่วมสมัย6) เครื่องแต่งกายออกแบบให้สื่อถึงวัฒนธรรมของชนชาติพันธุ์อินเดียในสมัยพุทธกาล โดย ผสมผสานกับวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยสมัยกรุงสุโขทัย 7) เวที ฉาก และอุปกรณ์ประกอบการแสดงมุ่งเน้น ความเรียบง่ายตามท้องเรื่อง8) ใช้แสงที่สื่อถึงความรู้สึกของตัวละคร 9)ออกแบบสื่อมัลติมีเดียด้วยการฉายภาพยนตร์ บนจอสลับกับผู้แสดงจริงบนเวที</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/853
ละครรำเรื่องบ่วง: การสร้างสรรค์แนวคิดและรูปแบบการแสดงจากตำนานพุทธชาดก
2024-06-30T23:29:59+07:00
วรางคณา วุฒิช่วย
a@gmail.com
สุรัตน์ จงดา
a@gmail.com
จินตนา สายทองคำ
a@gmail.com
<p> บทความฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ละครรำ เรื่องบ่วง วิทยานิพนธ์ระดับดุษฏีบัณฑิต มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อสร้างแนวคิดการแสดงละครรำ เรื่องบ่วง 2. เพื่อสร้างสรรค์รูปแบบองค์ประกอบละครรำ เรื่องบ่วง ศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากหนังสือ ตำรา งานวิจัยและทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นำข้อมูลทั้งหมดมารวบรวม วิเคราะห์ สังเคราะห์สู่การสร้างสรรค์แนวคิดและรูปแบบการแสดงละครรำ เรื่องบ่วง</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1. แนวคิดการแสดงละครรำ เรื่องบ่วง ประกอบด้วย 1) แรงบันดาลใจมาจากพระ อาจารย์มั่น ภูริทัตโตเถระ ผู้เป็นต้นเค้าแห่งความเจริญทางปริยัติธรรมการนำหลักปรัชญาคำสอนศาสนา ชี้นำทาง โลก โดยทางการเรียนรู้พระปริตรชาดก 2) แนวคิดในการสร้างสรรค์ละครผสมผสานในรูปแบบใหม่ จากนาฏย ลักษณ์ของละครรำดั้งเดิมและละครรำปรับปรุงขึ้นใหม่ เพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านศาสนาและส่งเสริมเผยแพร่ ไปยังภูมิภาคอื่นของประเทศให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น</p> <p> 2. รูปแบบการสร้างสรรค์การแสดงละครรำ เรื่องบ่วง เป็นการแสดงละครรำแบบผสมผสาน ได้นำจุดเด่น เอกลักษณ์หรือนาฏยลักษณ์ของละครรำ แต่ละประเภทมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย ละครรำแบบตั้งเดิม ละครรำแบบปรับปรุงขึ้นใหม่ เพื่อสร้างสรรค์ละครรำแนวใหม่ โดยมีรูปแบบการแสดงดังนี้1) บทที่ใช้ในการแสดง ประพันธ์บทขึ้นใหม่ 2) การรำเบิกโรง มีไหว้ครูสวดบูชาก่อนเริ่มแสดงแบบละครโนราห์ – ชาตรี 3) การดำเนินเรื่อง รวดเร็ว บทพูดเจรจาแบบละครนอก 4) กระบวนท่ารำ รำตามบทร้อง และรำอวดฝีมือตามจารีตแบบละครใน 5) การแต่งกายแบบละครพันทางและละครเสภา 6) เปลี่ยนฉากตามเนื้อเรื่องแบบแนวทางละครดึกดำบรรพ์ 7) ผู้แสดงใช้ชายและหญิง 8) ฉาก แสง เสียงบูรณาการใช้เทคโนโลยีสื่อมัลติมีเดียในรูปแบบต่าง ๆ</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/854
พระอภัยมณี ตอนหึงหน้าป้อมกับการตีความหมายและสร้างบทประพันธ์ใหม่ เพื่อคุณค่าและศักดิ์ศรีของสตร
2024-06-30T23:39:02+07:00
สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา
young_man99@hotmail.com
ศุภชัย จันทร์สุวรรณ
young_man99@hotmail.com
อัควิทย์ เรืองรอง
young_man99@hotmail.com
<p>การศึกษาศักดิ์ศรี และคุณค่าของสตรี ผ่านการตีความและสร้างบทประพันธ์ใหม่ผ่านตัวละคร พระอภัยมณี นาง สุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา ตามแนวคิดเรื่องการตีความและการสร้างบทประพันธ์ใหม่ตามแนวคิดสตรีนิยม มี วัตถุประสงค์เพื่อการตีความและสร้างบทประพันธ์ใหม่ผ่านตัวละครนางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา จากเรื่องพระอภัย มณี ตอนหึงหน้าป้อม เพื่อศึกษาความเท่าเทียม ศักดิ์ศรี และคุณค่าของสตรี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาบท ประพันธ์เดิมและนำบทประพันธ์เดิมมาตีความหมายใหม่ตามการเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคมและนำไปสู่การสร้างบท ประพันธ์ใหม่ ผลการศึกษา พบว่า การตีความหมายและสร้างบทประพันธ์ใหม่ เรื่องพระอภัยมณี ตอน หึงหน้าป้อม ซึ่งเดิมถูก มองว่าความหึงหวงของผู้หญิงนำไปสู่การเกิดสงครามและความเสียหาย เป็นการลดคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิง แต่การ ตีความใหม่จะเน้นเรื่องของการปกป้องศักดิ์ศรีและบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องของความหึงหวง ตามแนวคิดสตรีนิยมที่ผู้ชายและ ผู้หญิงไม่ต่างกันในเรื่องความสามารถและแนวคิดสตรีนิยมที่สนับสนุนให้ผู้หญิงสามารถพึ่งพาตนเองได้ มุ่งแก้ไขโดยใช้ วิธีการเปลี่ยนถ่ายทางวัฒนธรรม การตีความหมายใหม่นำไปสู่การสร้างบทประพันธ์ใหม่เพื่อเป็นการถ่ายทอดแนวความคิด ด้านความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีและคุณค่าผ่านตัวละครพระอภัยมณี นางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/855
การพัฒนาระบบและกลไกในการบริหารจัดการงานวิจัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธาน
2024-06-30T23:45:41+07:00
อานันท์ ทาปทา
Anan.t@ubru.ac.th
อรทัย เลียงจินดาถาวร
Anan.t@ubru.ac.th
อนันต์ แม้นพยัคฆ์
Anan.t@ubru.ac.th
<p>การศึกษาศักดิ์ศรี และคุณค่าของสตรี ผ่านการตีความและสร้างบทประพันธ์ใหม่ผ่านตัวละคร พระอภัยมณี นาง สุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา ตามแนวคิดเรื่องการตีความและการสร้างบทประพันธ์ใหม่ตามแนวคิดสตรีนิยม มี วัตถุประสงค์เพื่อการตีความและสร้างบทประพันธ์ใหม่ผ่านตัวละครนางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา จากเรื่องพระอภัย มณี ตอนหึงหน้าป้อม เพื่อศึกษาความเท่าเทียม ศักดิ์ศรี และคุณค่าของสตรี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาบท ประพันธ์เดิมและนำบทประพันธ์เดิมมาตีความหมายใหม่ตามการเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคมและนำไปสู่การสร้างบท ประพันธ์ใหม่ ผลการศึกษา พบว่า การตีความหมายและสร้างบทประพันธ์ใหม่ เรื่องพระอภัยมณี ตอน หึงหน้าป้อม ซึ่งเดิมถูก มองว่าความหึงหวงของผู้หญิงนำไปสู่การเกิดสงครามและความเสียหาย เป็นการลดคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้หญิง แต่การ ตีความใหม่จะเน้นเรื่องของการปกป้องศักดิ์ศรีและบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องของความหึงหวง ตามแนวคิดสตรีนิยมที่ผู้ชายและ ผู้หญิงไม่ต่างกันในเรื่องความสามารถและแนวคิดสตรีนิยมที่สนับสนุนให้ผู้หญิงสามารถพึ่งพาตนเองได้ มุ่งแก้ไขโดยใช้ วิธีการเปลี่ยนถ่ายทางวัฒนธรรม การตีความหมายใหม่นำไปสู่การสร้างบทประพันธ์ใหม่เพื่อเป็นการถ่ายทอดแนวความคิด ด้านความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีและคุณค่าผ่านตัวละครพระอภัยมณี นางสุวรรณมาลี และนางละเวงวัณฬา</p>
2024-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/SVNL/article/view/873
วิจิตรลักษณ์ทางจะเข้ตำรับครูทองดี สุจริตกุล
2024-07-12T15:27:06+07:00
นิภา โสภาสัมฤทธิ์
nipha.so2499@gmail.com
ดุษฎี มีป้อม
nipha.so2499@gmail.com
สุพรรณี เหลืองบุญชู
nipha.so2499@gmail.com
<p>งานวิจัยเรื่อง วิจิตรลักษณ์ทางจะเข้ตำรับครูทองดี สุจริตกุล มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการบรรเลงในทางจะเข้ตำรับครูทองดี สุจริตกุล และเพื่อศึกษาวิเคราะห์วิจิตรลักษณ์สำนวนกลอนทางจะเข้ของครูทองดี สุจริตกุล โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ลูกศิษย์ของครูทองดี สุจริตกุล 15 คน ผลการศึกษาพบว่ากลวิธีการบรรเลงทางจะเข้ตำรับครูทองดี สุจริตกุลมี 15 กลวิธีในการบรรเลงจะเข้อันประกอบไปด้วย การดีดสายเปล่า การดีดเปิดสายเปล่า การดีดรัว การดีดสะบัดสามเสียง การดีดสะบัดสองเสียง การดีดสะบัดเสียงเดียว การดีดทิงนอย การดีดรัว การดีดรัวรูด การดีดรัวรูดสายลวด การดีดตบสาย การดีดกระทบสองสาย การดีดกระทบสามสาย การดีดปริบ การดีดโปรย การดีดขยี้</p> <p>ผลการศึกษาพบว่ากลวิธี 15 กลวิธีปรากฏเป็นวิจิตรลักษณ์สำนวนกลอนทางจะเข้ของครูทองดี สุจริตกุล 22 รูปแบบในเพลงประเภทดำเนินทำนองและเพลงเดี่ยว การใช้สำนวนกลอนทั้งวรรคถามและวรรคตอบ การซ้ำของทำนองอย่างเป็นระบบ การใช้สมดุลในการใช้กลวิธีขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง ส่งผลให้เป็นที่ยอมรับว่าทางจะเข้ตำรับครูทองดี สุจริตกุลเป็นวิจิตรลักษณ์ที่มีคุณค่าทางความงามตามขนบทั้งภาพลักษณ์ที่มองเห็นและเสียงที่ได้รับฟัง</p>
2023-06-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024