https://so13.tci-thaijo.org/index.php/LANNA/issue/feed
Lanna Academic Journal of Social Science
2024-08-29T00:00:00+07:00
Lampang Inter-Tech College
graduate.lit.lp@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>Lanna Academic Journal of Social Science :</strong> ของวิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง มีนโยบายในการส่งเสริมผลงานวิชาการ บทความ และงานวิจัยทางด้านสังคม กล่มเป้าหมาย นักวิจัย นักวิชาการ นักเขียนอิสระ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา การประเมินคุณภาพบทความ<strong>ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน จำนวน 3 ท่าน/บทความ</strong> โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน (Double-blind peer review)</p> <p><strong>ISSN :</strong> <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3056-9648 (Online)</span></p> <p><strong>ภาษาที่ตีพิมพ์: </strong>ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดตีพิมพ์: </strong>จำนวน 3 ฉบับต่อปี </p> <p>ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม-สิงหาคม</p> <p>ฉบับที่ 3 เดือน กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร: </strong>วิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเป็นศูนย์การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวิทยาการสมัยใหม่ในรูปแบบการนำเสนอบทความวิจัยหรือบทความวิชาการของนักศึกษา นักวิชาการทั้งภายในและภายนอกวิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง</li> <li>เพื่อเป็นช่องทางในการพัฒนาศักยภาพและทักษะการผลิตผลงานทางวิชาการ การค้นคว้าวิจัย รวมถึงการบริการวิชาการเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน</li> <li>เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้นักวิจัย นักวิชาการ นักเขียนอิสระ คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา ได้เผยแพร่บทความวิชาการ และงานวิจัย</li> <li>เพื่อเป็นแหล่งการศึกษาค้นคว้าข้อมูล แลกเปลี่ยนเรียนรู้และวิทยาการทางสังคมให้กับนิสิต นักศึกษา คณาจารย์ มหาวิทยาลัย ชุมชน ประชาชนผู้มีความสนใจ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน</li> </ol> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p><em>" ไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ"</em></p>
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/LANNA/article/view/874
ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 1
2024-07-19T10:07:43+07:00
พิมพฤทธิ์ เที่ยงภักดิ์
pimparit.t1107@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู 2) ศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู และ 3) ศึกษาความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 1 กลุ่มประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนในสังกัดสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 1 ปีการศึกษา 2566 แบ่งตามขนาดของโรงเรียน ได้หน่วยตัวอย่าง จำนวน 327 บุคคล เครื่องมือ คือ แบบสอบถามแบบ สถิติพรรณนาวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมานวิเคราะห์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารสถานศึกษามีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการตระหนักรู้ในอารมณ์ตนเองมีค่าเฉลี่ยสูงสุดอยู่ในระดับมาก รองลงมา ได้แก่ ด้านความเข้าใจอารมณ์ของบุคคลอื่น และด้านการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านการควบคุมอารมณ์ตนเอง และด้านการสร้างแรงจูงใจในตนเอง 2) ประสิทธิผลของโรงเรียนพบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านความสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงสุดอยู่ในระดับมาก รองลงมา ได้แก่ ด้านความสามารถพัฒนานักเรียนให้มีทัศนะทางบวก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ ด้านความสามารถผลิตนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง และ 3) ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีต่อประสิทธิผลของโรงเรียนมีความสอดคล้องกับสมมติฐาน เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า มีสามด้านแรกที่มีผลในระดับสูงสุด ได้แก่ 1) ด้านการสร้างแรงจูงใจในตนเอง(X<sub>3</sub>) 2) ด้านการควบคุมอารมณ์ตนเอง (X<sub>2</sub>) 3) ด้านการตระหนักรู้ในอารมณ์ตนเอง (X<sub>1</sub>) มีผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2024-08-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Lanna Academic Journal of Social Science
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/LANNA/article/view/903
คุณภาพการให้บริการส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการโรงแรมในหาดเจ้าสําราญ จังหวัดเพชรบุรี
2024-07-26T11:26:21+07:00
จุฬาลักษณ์ มีผล
julaluk.mee@mail.pbru.ac.th
ธนาพร ภาคดนตรี
Julaluk.mee@mail.pbru.ac.th
อภัชชา ม่วงนาคร
Julaluk.mee@mail.pbru.ac.th
ธนกิจ วีรวัธน์วณิชย์
Julaluk.mee@mail.pbru.ac.th
มูฮำหมัดกามีรู กือแด
Julaluk.mee@mail.pbru.ac.th
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการบริการ ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ ด้านความเชื่อถือไว้วางใจ ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า ด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้าและความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการโรงแรมในหาดเจ้าสําราญ และ 2) เพื่อศึกษาคุณภาพการบริการที่มีผลต่อความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการโรงแรมในหาดเจ้าสําราญจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่เคยใช้บริการโรงแรมในหาดเจ้าสําราญจังหวัดเพชรบุรี จํานวน 323 คน เคร่ืองมือ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติอนุมานวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพการบริการในภาพรวมระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า การตอบสนองต่อลูกค้า ด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้และด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้า ส่วนความภักดีของลูกค้าใช้บริการอยู่ในระดับมากอีกทั้งคุณภาพการบริการส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าที่ใช้บริการโรงแรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยด้านที่ส่งผลมากที่สุด คือ ความเป็นรูปธรรมของการบริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้า ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้าและด้านความเช่ือถือไว้วางใจ ตามลำดับ</p>
2024-08-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Lanna Academic Journal of Social Science
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/LANNA/article/view/897
รูปแบบการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อความเป็นผู้ประกอบการ ในธุรกิจขนาดย่อม จังหวัดลําปาง
2024-08-05T11:59:22+07:00
เจตน์ สืบสาย
kaschanan1972@gmail.com
คัจฉนันท์ เลิศพงษ์ศิลป์
kaschanan1972@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสำคัญของการตลาดออนไลน์และความเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจขนาดย่อม และ 2) เพื่อศึกษาการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อความเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจขนาดย่อม จังหวัดลําปาง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบการสินค้าในจังหวัดลำปาง จํานวน 385 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณาหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์สถิติเชิงอนุมานด้วยสมการถดถอยเชิงพหุคูณ ด้วยวิธีการนำเข้าตัวแปรทั้งหมด</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการตลาดออนไลน์ภาพรวมอยูในระดับมาก โดยให้การตลาดผ่านโซเชียลเป็นอันดับแรก (<em>x̅</em> =3.95, S.D.= 0.598) รองลงมา คือ การตลาดบนมือถือ (<em>x̅</em> =3.93, S.D.= 0.640) การโฆษณาออนไลน์ (<em>x̅</em> =3.90, S.D.= 0.626) ลำดับสุดท้าย การตลาดผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และความเป็นผู้ประกอบการมีสัดส่วนเท่ากัน (<em>x̅</em> =3.75, S.D.= 0.689, 0.658) ตามลำดับ และการตลาดผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การโฆษณาออนไลน์ การตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและการตลาดบนมือถือมีผลต่อความเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจขนาดย่อมที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมควรให้ความสำคัญกับการตลาดออนไลน์ พัฒนาและเรียนรู้เพื่อนำเอาเทคนิคหรือเครื่องมือการตลาดออนไลน์มาประยุกต์ใช้เพราะจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น การตลาดออนไลน์เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล</p>
2024-08-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Lanna Academic Journal of Social Science
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/LANNA/article/view/875
การใช้พลังอำนาจของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2
2024-07-19T15:44:34+07:00
ศิริวรรณ ปันบุตร
pronpitcha22@gmail.com
พิมพฤทธิ์ เที่ยงภักดิ์
pimparit.t1107@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพลังอำนาจของผู้บริหารสถานศึกษากับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพลังอำนาจของผู้บริหารสถานศึกษากับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู และ 3) เพื่อศึกษาการใช้พลังอำนาจของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 โดยสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นใช้อำเภอเป็นชั้นในการแบ่ง และจำแนกแต่ละอำเภอแบบสัดส่วน จำนวน 321 คน เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) พลังอำนาจของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมากและขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน รองลงมา คือ ด้านสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงาน ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานและด้านความมั่นคงในงาน 2) ความสัมพันธ์ระหว่างพลังอำนาจของผู้บริหารสถานศึกษาและขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู พบว่าโดยรวมพลังอำนาจของผู้บริหารสถานศึกษาและขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูมีความสัมพันธ์กันทางบวกอยู่ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) ผลการวิเคราะห์พลังอำนาจของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูพบว่าด้านอำนาจอ้างอิงและด้านอำนาจตามกฎหมายส่งผลทางบวกต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู และสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนได้ร้อยละ 81.50 (R<sup>2</sup> = 0.815) โดยที่ด้านอำนาจอ้างอิงมีผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านอำนาจตามกฎหมาย ตามลำดับ</p>
2024-08-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Lanna Academic Journal of Social Science
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/LANNA/article/view/905
ส่วนประสมการตลาดบริการที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของลูกค้าในจังหวัดเพชรบุรี
2024-07-26T11:29:43+07:00
ณัฐวรรณ เกิดมุข
natthawan.koe@mail.pbru.ac.th
พิชชาภา รักษาพันธ์
natthawan.koe@mail.pbru.ac.th
ศศิประภา อินทรักษา
natthawan.koe@mail.pbru.ac.th
สิราวรรณ ปานรอด
natthawan.koe@mail.pbru.ac.th
สุดารัตน์ ศิลปะศร
natthawan.koe@mail.pbru.ac.th
อารียานี นาลี
natthawan.koe@mail.pbru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสำคัญของส่วนประสมการตลาดบริการและกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของลูกค้าในจังหวัดเพชรบุรี และ 2) ส่วนประสมส่วนประสมการตลาดบริการที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของลูกค้าในจังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ในจังหวัดเพชรบุรี จํานวน 384 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความถดถอยอย่างง่าย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสำคัญของส่วนประสมการตลาดบริการและกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของลูกค้าภาพรวม มีค่าเฉลี่ยระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการส่งเสริมการตลาดมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านช่องทางการจัดจําหน่าย ด้านกระบวนการให้บริการ ด้านบุคคล ด้านราคา ด้านสินค้าและบริการ และด้านการเก็บรักษาข้อมูล ส่วนกระบวนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยระดับมาก และ 2) ส่วนประสมการตลาดบริการส่งผลทางบวกต่อกระบวนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ของลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 โดยส่งผลทางบวกทุกด้าน ได้แก่ การส่งเสริมการตลาด ช่องทางการจัดจําหน่าย กระบวนการให้บริการ บุคคล ราคา สินค้าและบริการ และการเก็บรักษาข้อมูล</p>
2024-08-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Lanna Academic Journal of Social Science
https://so13.tci-thaijo.org/index.php/LANNA/article/view/929
การพัฒนาทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบ GPAS 5 Steps สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
2024-08-23T09:26:12+07:00
สิรวิชญ์ ธาดาบดินทร์
sirawitch1692@gmail.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินคะแนนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี และ 2) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรี จำนวน 42 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง มีเกณฑ์คัดเลือก คือ เป็นนักเรียนในห้องเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์และเป็นห้องเรียนที่นักเรียนผลการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา เพื่อหาค่าร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 มีคะแนนรวม 7 ข้อ ได้คะแนนทั้งหมด 21 คะแนน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 3 คือ ดีมากขึ้นไป และ 2) การพัฒนาทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps พบว่า การพัฒนาทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Steps สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้ากบินทร์บุรีในภาพรวมครูผู้สอนจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ที่จะการรวบรวมข้อมูล นักเรียนมีการจัดข้อมูลทางประวัติศาสตร์เรื่อง “เล่าขานบรรพชน ตำนานคนแดนบูรพา” ร่วมกันวางแผนและลงมือทำแบบมีส่วนร่วมของนักเรียน รวมถึงตรวจสอบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในงาน นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีการประเมินสร้างคุณค่าสู่สังคม และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมผ่านการเผยแพร่ผลงานของนักเรียน </p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 Lanna Academic Journal of Social Science