https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JWR/issue/feed วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์ 2025-11-20T07:25:24+07:00 พระครูวิรุฬห์สุตคุณ, ผศ.ดร. Wirunsutakhun.ont@mcu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>ISSN 3088-1471 (Online)</strong><br /><strong><br /></strong><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong><br />วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์มีนโยบายรับตีพิมพ์ และเผยแพร่บทความวิชาการ (Academic Article) ในสาขาวิชาที่เกี่ยวกับ<br />พระพุทธศาสนา การศึกษา การบริหารการศึกษา และสาขาวิชาอื่นๆ ในสหวิทยาการด้านพุทธศาสตร์ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ <br />และสังคมศาสตร์ สำหรับคณาจารย์ นิสิต และนักวิจัยทุกท่าน<br /><br /><strong>การพิจารณาคัดเลือกบทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความที่ตีพิมพ์จะได้รับพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ (Peer Review) 2 แบบ คือ <br />แบบที่ 1 บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ จะได้รับพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ อย่างน้อย 2 ท่าน ต่อ 1 บทความ <br />แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double Blind Peer Review) และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์<br />แบบที่ 2 บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ จะได้รับพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ อย่างน้อย 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ <br />แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double Blind Peer Review) และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์<br /><br /><strong>กำหนดการเผยแพร่บทความ</strong> <br />มีกำหนดออกตีพิมพ์ 3 ฉบับ ต่อปี (ราย 4 เดือน) ดังนี้<br />ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน (กำหนดออก เดือนเมษายน)<br />ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม (กำหนดออก เดือนสิงหาคม)<br />ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม (กำหนดออก เดือนธันวาคม)<br /><br /><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ <br /></strong>รับบทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ<br /><br /><strong>การตีพิมพ์บทความ<br /></strong>บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น <br />ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความในวารสารอย่างเคร่งครัด โดยอ้างอิงตามรูปแบบของ APA (นาม-ปี) <br />รวมถึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสารฯ และกำหนดความซ้ำของผลงานด้วยโปรแกรม CopyCat เว็บ Thaijo ไม่เกิน 25% <br />ทั้งนี้ ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฯ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ โดยไม่ถือเป็นทัศนะ<br />และความรับผิดชอบของวารสารฯ<br /><br /><strong>ค่าธรรมเนียม<br /></strong>ค่าธรรมเนียมการลงตีพิมพ์บทความวารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์<br />แบบที่ 1 บทความละ 2,000 บาท <br />แบบที่ 2 บทความละ 3,500 บาท<br />(เก็บเพียงครั้งเดียว หลังจากบทความของท่านได้ผ่านความเห็นชอบจากบรรณาธิการแล้ว)<br /><br /><br /></p> https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JWR/article/view/2879 แนวทางพัฒนาเยาวชนรุ่นใหม่ด้านคุณธรรมจริยธรรมในจังหวัดสมุทรสงคราม 2025-10-07T20:24:18+07:00 พระปลัดสมศักดิ์ อตฺตสุโภ (แซ่ลี้) sphraplad@hotmail.com <p>บทความวิชาการนี้นำเสนอแนวทางการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมสำหรับเยาวชนรุ่นใหม่ในจังหวัดสมุทรสงคราม ในสังคมปัจจุบันที่เยาวชนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับความท้าทายระหว่างรากฐานทางวัฒนธรรมและพระพุทธศาสนาที่เข้มแข็งกับกระแสโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยการศึกษาและสังเคราะห์จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมกับยุคสมัย โดยมีแนวทางพัฒนาด้านคุณธรรมจริยธรรมให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ 4 แนวทาง และต้องดำเนินการควบคู่กัน ได้แก่ 1) การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง โดยเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อสร้างจิตสำนึกรักบ้านเกิดและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม 2) การสร้างสรรค์สื่อและความร่วมมือกับพระสงฆ์ ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเผยแผ่หลักธรรมในรูปแบบที่ทันสมัยและน่าสนใจ 3) การมีส่วนร่วมของครอบครัวและภาคประชาสังคม เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน และ 4) การสร้างสุขภาวะองค์รวม ที่ส่งเสริมการพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ และปัญญา ซึ่งเป็นกระบวนการที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริงและการมีส่วนร่วม โดยมีพระสงฆ์เป็นกัลยาณมิตรและบุคคลต้นแบบ แนวทางนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้แก่เยาวชน ธำรงรักษาคุณค่าอันดีงามของท้องถิ่นไปพร้อมกับการดำรงชีวิตในโลกสมัยใหม่ได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ต่อไป</p> 2025-11-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JWR/article/view/2880 การบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 2025-10-07T20:22:59+07:00 ศิริ สุดสังข์ sirisudsang@hotmail.com <p>บทความเรื่องนี้เป็นการนำเสนอการบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำ<br />เชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยการนำหลักอิทธิบาท 4 ซึ่งเป็นหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาเป็นกรอบในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ดังนี้ ฉันทะ (ความรักในงาน) เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้าง วิสัยทัศน์ที่สร้างสรรค์ วิริยะ (ความเพียร) เป็นพลังในการผลักดันจินตนาการให้กลายเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจริง แม้ต้องเผชิญอุปสรรค จิตตะ (ความเอาใจใส่) เป็นเครื่องมือในการกำกับให้เกิดความยืดหยุ่น และการตัดสินใจที่รอบคอบเท่าทันต่อสถานการณ์ และวิมังสา (การไตร่ตรอง) เป็นกระบวนการที่ยกระดับการแก้ปัญหาไปสู่การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืนผ่านการทบทวนและวิเคราะห์ร่วมกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช่วยสร้างคุณลักษณะภายในที่มั่นคงให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา ทำให้เกิดภาวะผู้นำที่มีทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ในการบริหารจัดการ ซึ่งจะสามารถนำพาสถานศึกษาให้บรรลุเป้าหมายแห่งความเป็นเลิศ และเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์และยั่งยืนได้อย่างแท้จริง</p> 2025-11-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JWR/article/view/3026 การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาท้องถิ่นด้วยบทบาทของภาวะผู้นำเชิงเครือข่ายตามหลักพุทธธรรม 2025-11-07T22:52:06+07:00 ศิรประภา นักทำนา siraprapanak@hotmail.com <p>บทความนี้นำเสนอแนวทางการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาท้องถิ่นผ่านการบูรณาการภาวะผู้นำเชิงเครือข่ายกับหลักพุทธธรรม โดยมุ่งเน้นการสร้างผู้นำที่มีความสามารถในการเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาในบริบทของสังคมไทยในศตวรรษที่ 21 การศึกษาในปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน ได้แก่ ความหลากหลายของนักเรียนและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งทำให้บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาไม่เพียงแต่เป็นผู้จัดการองค์กรแต่ต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สามารถสร้างความร่วมมือและนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้วิเคราะห์ความสำคัญของภาวะผู้นำเชิงเครือข่าย ซึ่งเน้นการทำงานร่วมกันและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ โดยใช้หลักพุทธธรรมเป็นแนวทางในการเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมของผู้นำ เช่น สังคหวัตถุ 4 ที่ช่วยในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ อิทธิบาท 4 ที่เป็นพลังขับเคลื่อน และพรหมวิหาร 4 ที่สร้างบารมีและความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้นำ การบูรณาการแนวคิดเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งและยั่งยืนได้ พร้อมเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการปฏิบัติสำหรับการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต โดยเน้นการสร้างกลไกสนับสนุนเครือข่ายและการพัฒนาหลักสูตรที่บูรณาการภาวะผู้นำเชิงเครือข่ายกับหลักพุทธธรรม เพื่อให้ผู้บริหารสามารถนำพาการศึกษาไทยไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน</p> 2025-11-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JWR/article/view/3070 การพัฒนาจริยธรรมผู้บริหารสถานศึกษาด้วยหลักพุทธธรรมในยุค AI 2025-11-15T13:59:40+07:00 พระครูใบฎีกาอิทธิพล กิตฺติพโล พรหมมาพันธุ์ phrakrubaidikaittipon@hotmail.com <p>ภูมิทัศน์การศึกษาในศตวรรษที่ 21 กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งนำเสนอทั้งศักยภาพมหาศาลในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสถานศึกษา และในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความท้าทายเชิงจริยธรรมที่ซับซ้อนลึกซึ้ง ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำทางจริยธรรม จึงต้องเผชิญกับโจทย์สำคัญทั้งในมิติความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้เรียน ปัญหาอคติที่แฝงในอัลกอริทึม (Algorithmic Bias) ที่อาจซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ตลอดจนความเสี่ยงต่อการลดทอนปฏิสัมพันธ์และคุณค่าความเป็นมนุษย์ บทความนี้จึงมุ่งเสนอแนวทางการพัฒนาจริยธรรมผู้บริหารสถานศึกษาโดยการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือนำทางและสร้างระบบปฏิบัติการทางปัญญาในการเผชิญหน้ากับวิกฤตจริยธรรมดิจิทัลที่สังเคราะห์จากหลักธรรมสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ โยนิโสมนสิการ เพื่อเป็นกระบวนการคิดเชิงวิเคราะห์สืบสาวเหตุปัจจัยในการประเมินและเลือกใช้ AI อย่างรู้เท่าทัน พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) เพื่อใช้เป็นเข็มทิศทางศีลธรรมในการกำกับนโยบายการใช้ AI ให้ตั้งอยู่บนฐานของความปรารถนาดีต่อผู้เรียน และการวางใจเป็นกลางอย่างยุติธรรม และสัปปุริสธรรม 7 เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริหารในการเป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ ในการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างสมดุล โดยเสนอแนวทางการพัฒนา 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตระหนักรู้ (การใช้โยนิโสมนสิการ) ขั้นการกำหนดนโยบาย (การใช้พรหมวิหาร 4) และขั้นการนำไปปฏิบัติ (การใช้สัปปุริสธรรม 7) ที่สามารถสร้างดุลยภาพระหว่างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีกับคุณค่าทางมนุษยธรรมได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-11-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JWR/article/view/3030 ผลของการใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 รายวิชา จิตวิทยาสำหรับครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 2025-11-07T22:55:51+07:00 ฐิติวัสส์ สุขป้อม thitiwas.cru@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจความต้องการของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม 2) เปรียบเทียบทักษะการทำงานเป็นทีมก่อนและหลังการจัดกิจกรรมดังกล่าว และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อกิจกรรม เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 30 คน ที่ลงทะเบียนรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2568 ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสำรวจความต้องการ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินทักษะการทำงานเป็นทีม และแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยการวิเคราะห์ค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการของนักศึกษาต่อกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.47) 2) ทักษะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาหลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนเข้าร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อกิจกรรมนี้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.71)</p> 2025-11-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JWR/article/view/3029 ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทบาทสมมุติรายวิชาการบริหารและการประกันคุณภาพการศึกษาของนักศึกษาครู 2025-11-07T22:54:46+07:00 ณัฏฐกรณ์ ปะพาน nattakorn.cru@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการในการเรียนรายวิชาการประกันคุณภาพของนักศึกษา 2) เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทบาทสมมุติ (Role Play) ต่อความรู้ ความเข้าใจ และสมรรถนะด้านการประกันคุณภาพของนักศึกษา เป็นการวิจัยในชั้นเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามวัดความรู้และเจตคติ แบบสังเกตการปฏิบัติ และแบบประเมินผลรายงานการประเมินตนเอง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังจากจัดกิจกรรมบทบาทสมมุติ นักศึกษามีความรู้ด้านมาตรฐานและตัวบ่งชี้ประกันคุณภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สูงขึ้นร้อยละ 23–28 ทักษะการทำงานร่วมกัน การสื่อสาร และการตัดสินใจเชิงปฏิบัติพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เจตคติและความมั่นใจในการปฏิบัติงานด้านการประกันคุณภาพสูงขึ้น นักศึกษามีความพึงพอใจต่อกิจกรรมบทบาทสมมุติใน <strong>ระดับสูงมาก</strong> (ค่าเฉลี่ย 4.65, S.D. = 0.11 งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้โดยใช้บทบาทสมมุติเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลในการพัฒนาความรู้และทักษะการประเมินคุณภาพของนักศึกษาครู สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลักสูตรการประกันคุณภาพและการพัฒนาครูในสถานศึกษาได้</p> 2025-11-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JWR/article/view/3028 ผลการใช้แบบฝึกทักษะปัญญาประดิษฐ์ (AI Skill Exercises) ในการผลิตสื่อการเรียนรู้ของนักศึกษาครู 2025-11-07T22:53:55+07:00 ณัฏฐกรณ์ ปะพาน nattakorn.cru@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการใช้แบบฝึกทักษะปัญญาประดิษฐ์ (AI Skill Exercises) ในการผลิตสื่อการเรียนรู้ของนักศึกษาครู และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาครูที่มีต่อการใช้แบบฝึกดังกล่าว เป็นการวิจัยในชั้นเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาชีพครู ชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม จำนวน 25 คน ได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะปัญญาประดิษฐ์ แบบทดสอบความสามารถในการผลิตสื่อการเรียนรู้ แบบประเมินผลงานสื่อการเรียนรู้ และแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยวิเคราะห์ด้วยค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการผลิตสื่อการเรียนรู้ของนักศึกษาครูหลังการใช้แบบฝึกทักษะ AI มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอยู่ในระดับปานกลาง Xˉ=3.10&nbsp; SD = 0.45 และหลังเรียนอยู่ในระดับดีมาก &nbsp;Xˉ=4.55 SD = 0.38) 2) ผลการประเมินความพึงพอใจพบว่า นักศึกษาครูมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะ AI อยู่ในระดับ ดีมาก Xˉ=4.58 SD = 0.36 โดยเฉพาะด้านการนำไปใช้จริงและความเป็นประโยชน์ ผลการวิจัยสะท้อนว่า แบบฝึกทักษะปัญญาประดิษฐ์มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติของนักศึกษาครู และสามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมครูในอนาคตได้</p> 2025-11-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิรุฬห์ศาสตร์ปริทัศน์