วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf <p>วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดทำโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของนักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย ตลอดจนนักวิชาการทั่วไป และเป็นแหล่งกลางในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในระดับชาติและพัฒนาไปสู่มาตรฐานในระดับสากลต่อไป</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่วารสาร</strong> ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ</strong> เป็นวารสารจัดอยู่ใน <strong>วารสาร TCI กลุ่มที่ 3</strong> (จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572)<br /><br /><strong>กองบรรณาธิการวารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ</strong> ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ (Processing fees and/or Article Page) จากผู้นิพนธ์บทความ ผู้นิพนธ์บทความสามารถส่งบทความตีพิมพ์ <strong>ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น</strong></p> <p>การพิจารณาบทความ จะผ่านการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน / บทความ </p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ th-TH วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 2774-0781 บรรณาธิการแถลง https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/2665 อาทิตย์ โพธิ์ศรีทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 20 1 ทักษะของผู้นำในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/1543 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะของผู้นำในยุคดิจิทัลในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะของผู้นำในยุคดิจิทัลกับประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา 4) เพื่อศึกษาทักษะของผู้นำในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา ตัวอย่างใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้สูตรการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างตามหลักการของทาโรยามาเน่ จำนวน 375 คน จากจำนวน 5,941 คน จำนวน 52 สถานศึกษา กำหนดสัดส่วนโดยเทียบบัญญัติไตรยางค์ จำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยใช้การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.98 และมีค่าความเที่ยงตรง เท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะของผู้นำในยุคดิจิทัลในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3) ทักษะของผู้นำในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จากมากไปน้อย ดังนี้ พบว่า ทักษะของผู้นำในยุคดิจิทัล 3 ทักษะ คือ ทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์, ทักษะทางเทคโนโลยีและการใช้ดิจิทัล และทักษะการบริหารจัดการองค์การ สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 อย่างนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> สมจิตร ประทุมทอง สุกัลยา นิลกระยา นพรัตน์ แทนทอง สิรินธร สินจินดาวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-25 2025-06-25 20 1 1 13 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/2327 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษากับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา และ 4) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาโดยใช้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 297 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 50 คน และครู จำนวน 247 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางเครจซี่และมอร์แกน โดยทำการสุ่มตัวอย่างแบ่งชั้นตามสัดส่วนของครูในแต่ละกลุ่มโรงเรียน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’ Product Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบปกติ (Enter Moltipie Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา พบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.455 – 0.658 และปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาสูงที่สุด คือ ด้านการจูงใจ และต่ำที่สุด คือ ด้านโครงสร้างขององค์กร และ 4) ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบปกติของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำนวน 3 ตัว ได้แก่ ได้แก่ ด้านการจูงใจ (X<sub>4</sub>) ด้านภาวะผู้นำ (X<sub>2</sub>) และด้านบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์กร (X<sub>3</sub>) ส่งผลต่อการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษา โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.703 มีอำนาจพยากรณ์ (R<sup>2</sup>) ได้ร้อยละ 49.40 มีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน เท่ากับ 0.184 ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปของคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐานตามลำดับ ดังนี้</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ</p> <p> = 1.460 + 0.356(X<sub>4</sub>) + 0.125(X<sub>2</sub>) + 0.117(X<sub>3</sub>)</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน</p> <p>y = 0.467(X<sub>4</sub>) + 0.141(X<sub>2</sub>) + 0.136(X<sub>3</sub>)</p> ปรีชญา พิณศรี ธัญญารัตน์ สวนจันทร์ เบญญาภา กาญจนันท์ ปุญญิศา แปลกเมือง พิมพ์สุภัค สุคนธ์ปิยสิริ สถิรพร เชาวน์ชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-07-24 2025-07-24 20 1 14 26 ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับภาวะผู้นำดิจิทัล ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/2323 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 2) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 297 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเทียบหาขนาดของเครจซี่ และมอร์แกน และเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) ตามสัดส่วนของครู โดยใช้กลุ่มอำเภอของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 เป็นชั้นในการแบ่งกลุ่มตัวอย่างครู 297 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความฉลาดทางอารมณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.99) 2) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 อยู่ในระดับมาก ( = 3.99) และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางอารมณ์กับภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงมาก (r= 0.953**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> พิมพร บุญลอย ปิยดา พัดแสง พัชริดา พลกุลอนุสรณ์ พิชญ์สินี เพชรดี เพชรรัตน์ ขำบัณทิตย์ สถิรพร เชาวน์ชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-01 2025-08-01 20 1 27 39 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับบรรยากาศองค์การในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/2328 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา (2) ศึกษาบรรยากาศองค์การในโรงเรียน และ (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับบรรยากาศองค์การในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 78 คน และข้าราชการครู 253 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจชี่และมอร์แกน (Krejcie &amp; Morgan, 1970) เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson correlation coefficient) ผลการวิจัยพบว่า (1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากที่สุด (2) ผลการศึกษาบรรยากาศองค์การในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านความอบอุ่นและการสนับสนุนอยู่ในระดับมากที่สุด และ (3) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับบรรยากาศองค์การในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ พบว่า ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวก ด้านที่มีระดับความสัมพันธ์สูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมายกับด้านมาตรฐานในการปฏิบัติงาน</p> ธีรศานต์ แซ่อ๊วง ธีรพงศ์ สถาน นิรุตต์ เชียงรินทร์ พัชราภรณ์ ทองแสน พันธวัช ขุนกำแหง สถิรพร เชาวน์ชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-04 2025-08-04 20 1 40 53 แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/2329 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการพัฒนาการนิเทศภายในโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ดำเนินการวิจัยใน 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาการพัฒนาการนิเทศภายในโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ของโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 63 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) คณะผู้วิจัยจับสลากกลุ่มตัวอย่างได้ ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมในจังหวัดพิษณุโลก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามชนิดมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ วิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต (𝑥̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1. เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการวางแผนการนิเทศภายในโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล ( =4.24, <strong>S.D. = 0.70 </strong>) รองลงมา คือ ด้านศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการนิเทศภายในโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล ( =4.27, <strong>S.D. = 0.73</strong>) รองลงมา คือ ด้านการดำเนินการนิเทศภายในโดยใช้นวัตกรรมดิจิทัล ( =4.21, <strong>S.D. = 0.78 </strong>) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการประเมินปรับปรุงการนิเทศภายในโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ( =4.17, <strong>S.D. = 0.82 </strong>) ตามลำดับ 2. แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ พบว่า การนิเทศภายในในรูปแบบออนไลน์ที่ดีควรเป็นระบบที่มีเป้าหมาย เชิงพัฒนา มีความยืดหยุ่น สื่อสารอย่างเข้าใจ และส่งเสริมศักยภาพของครูอย่างแท้จริง โดยเน้นการสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาศึกษานิเทศก์ และครู ผ่านการสื่อสารที่สร้างแรงบันดาลใจ และการมีส่วนร่วมภายใต้หลัก “นิเทศเพื่อพัฒนา” ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ด้านความสะดวกและประหยัดเวลา แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันคุณภาพการศึกษา พร้อมดูแลหัวใจของครูผู้สอน ส่งเสริมขวัญกำลังใจ และการเติบโตทางวิชาชีพ โดยมีศึกษานิเทศก์เป็นผู้นำทางวิชาการที่รับฟัง เสริมพลัง และร่วมเดินเคียงข้าง ครูในทุกบริบทของการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ครูรู้สึกว่าไม่ได้ถูกตรวจสอบ แต่ได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริง และเกิดพลังบวกในการทำงาน</p> นิตยา คำหนาหนัก นิศารัตน์ ไกรราช บุษยมาศ ทาแฝง ปนิดา เทพสุวรรณ สถิรพร เชาวน์ชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-07 2025-08-07 20 1 54 69 แนวทางการส่งเสริมการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/2331 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตรและ 2) เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร จำนวน 337 คน โดยกำหนดตามตารางเครจซี่และมอร์แกน จากนั้นสุ่มแบบแบ่งชั้นโดยใช้ขนาดโรงเรียนเป็นชั้นและสุ่มอย่างง่ายโดยจับสลากตามสัดส่วนของขนาดโรงเรียน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นที่ระดับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ขั้นตอนที่ 2 การหาแนวทางการส่งเสริมการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แนวทางการส่งเสริมการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับความเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านระบบการจัดการ อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านโครงสร้างองค์กร อยู่ในระดับมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือด้านบุคคล อยู่ในระดับมาก 2. แนวทาง การส่งเสริมการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร คือ ผู้บริหารควรจัดสรรทรัพยากรให้ตรงตามแผนกลยุทธ์ โดยวิเคราะห์ความต้องการของแต่ละฝ่ายใช้เทคโนโลยีวางแผนและติดตามผลเพื่อให้การบริหารยืดหยุ่น โปร่งใส และตรวจสอบได้ พร้อมกำหนดโครงสร้างสายงานและอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน สนับสนุนการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของบุคลากร เปิดโอกาสให้เสนอแนวคิดใหม่อย่างอิสระ ใช้เครื่องมือดิจิทัลสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสนับสนุนการริเริ่มโดยไม่ลงโทษหากล้มเหลว ทั้งนี้ควรสร้างเป้าหมายร่วม พัฒนาระบบสื่อสาร และบริหารจัดการโดยอิงข้อมูลจริงเพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องและปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม</p> ปนัดดา อินจ่อ พีรภาว์ กิตติศาสตรา พรนภา พฤติเจริญ ประธาน พะลาด ปิยะกาญจน์ คูหา สถิรพร เชาวน์ชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-07 2025-08-07 20 1 70 82 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/2326 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน 2) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการกับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 302 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 26 คน และครู จำนวน 276 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางเครจซี่และมอร์แกน โดยทำการสุ่มตัวอย่างแบ่งชั้นตามสัดส่วนของครูในแต่ละกลุ่มโรงเรียน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน โดยทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับปัจจัยส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน โดยทุกด้านอยู่ในระดับมาก 3) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการกับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน พบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) และ 4) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำนวน 3 ตัว ได้แก่ ด้านความเพียงพอของสื่อ นวัตกรรมเพื่อการศึกษา (X<sub>5</sub>​) ด้านการสนับสนุนงบประมาณ (X<sub>3</sub>​) และด้านภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร (X<sub>1</sub>​) ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สามารถสร้างสมการพยากรณ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ (R = 0.942 , R² = 88.64)</p> พิชัย ระเกตุ บุญญาฤทธิ์ สาระวรรณ์ ธีระพงษ์ สุขอยู่ ธีรเมธ เทพสุริยวงศ์ พงศธร สายเสนี สถิรพร เชาวน์ชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-14 2025-08-14 20 1 83 96 การพัฒนาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย ของนักเรียนออทิสติก โดยใช้เทคนิคการสอนเชิงพฤติกรรม https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/2408 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย โดยใช้เทคนิคการสอนเชิงพฤติกรรมของนักเรียนออทิสติก หน่วยบริการอำเภอเกาะคา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดลำปาง โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีขั้นตอนการปฏิบัติ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นวางแผน ขั้นปฏิบัติการ ขั้นสังเกต และขั้นสะท้อนผล โดยคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงเป็นนักเรียนออทิสติก เพศหญิง อายุ 5 ปี จำนวน 1 คน ที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นบุคคลออทิสติก ระดับชั้นเตรียมความพร้อม หน่วยบริการอำเภอเกาะคา ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดลำปาง ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ใช้เวลาในการทดลองทั้งสิ้น 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย 1) แผนการสอนเฉพาะบุคคล เรื่อง การสวมใส่เสื้อยืดคอกลม 2) แบบบันทึกพฤติกรรมความสามารถใน การช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย 3) ภาพการฝึกปฏิบัติการแต่งกาย ด้วยหลักการวิเคราะห์งาน (Task Analysis) และสื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า นักเรียนออทิสติกหน่วยบริการอำเภอเกาะคา มีความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกาย (การสวมเสื้อยืดคอกลม) ที่สูงขึ้น เมื่อได้รับการสอนโดยใช้เทคนิค การสอนเชิงพฤติกรรม แสดงให้เห็นว่า เทคนิคการสอนเชิงพฤติกรรมสามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการช่วยเหลือตนเองด้านการแต่งกายของนักเรียนออทิสติกได้</p> พิชญาศินี สุยะตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-16 2025-08-16 20 1 97 110 การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโครงการบริการวิชาการของศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://so13.tci-thaijo.org/index.php/JERf/article/view/1736 <p>การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโครงการบริการวิชาการของศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการระบบสารสนเทศ พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโครงการบริการวิชาการ ประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโครงการบริการวิชาการ และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโครงการบริการวิชาการของศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหาร อาจารย์ และบุคลากร คณะศึกษาศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาและความต้องการระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโครงการบริการวิชาการ โดยภาพรวมมีค่าความต้องการจำเป็น (ค่า PNI = 0.24) 2. การประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโครงการบริการวิชาการด้านระบบการทำงาน (Functional Requirements Test) โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี (𝑥̅ = 4.16) ด้านผลการทำงาน (Performance Test) โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี (𝑥̅ = 4.17) และด้านผลการทำงาน (Performance Test) โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี (𝑥̅ = 4.17) 3. ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโครงการบริการวิชาการ โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี (𝑥̅ = 4.25)</p> รัชญา เมฆวัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-22 2025-08-22 20 1 111 125